INKJET คืออะไร

การพิมพ์ INKJET คือการพิมพ์ด้วยหลักการพ่นหมึกลงบนวัสดุต่างๆ เหมือนกับเครื่อง inkjet printer ที่ใช้กันทั่วไปตามบ้านละสำนักงาน แต่พิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์ขนาดใหญ่และคุณภาพดีกว่ามาก ไม่ว่าจะพ่นหมึกตรงจุดใดก็ตาม เครื่องก็จะสามารถทำการพ่นหมึกลงไปตามวัสดุที่ต้องการได้อย่างแม่นยำ ด้วยการประมวลผลของตัวเครื่องที่แทบจะไม่มีความผิดพลาด ให้สีที่มีความคมชัดและตัวอักษรที่ชัดเจน ซึ่งอย่างไรก็ตามความละเอียดของงานนั้นก็ขึ้นอยู่กับเครื่องพิมพ์นั้นๆด้วย โดยปัจจุบันเครื่องพิมพ์ INKJET โดยทั่วไปนั้นความละเอียดอยู่ที่ 720 dpi ถึง 1440 dpi (DPI ในที่นี้นั้นหมายถึง “Dots per inch” หรือจำนวนของเม็ดสีต่อนิ้ว ถ้ายิ่งสูงงานก็จะยิ่งละเอียดตามมาไปด้วย และแน่นอนว่าราคาก็จะสูงตามไปด้วยเหมือนกัน)โดยการงานพิมพ์ INKJET จะสามารถทำงานได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น งานภายใน (INDOOR) หรือ งานภายนอก (OUTDOOR) ขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้า จึงทำให้ INKJET เหมาะสมแก่การใช้กับงานสื่อสิ่งพิมพ์เป็นอย่างมาก โดยจะได้งานที่ออกมามีคุณภาพยอดเยี่ยม ให้ความละเอียดสูงเหมาะกับการใช้งานในหลายรูปแบบตอบทุกโจทย์ความต้องการ และให้การลงทุนที่ต่ำแต่ได้งานที่น่าพึงพอใจ ละที่สำคัญงาน INKJET นั้นเป็นสื่อโฆษณาที่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้เป็นอย่างดี

ประเภทของงานพิมพ์ INKJET

งานพิมพ์ INKJET นั้นจะสามารถแบ่งออกเป็น 4 หัวข้อสำคัญๆตามลักษณ์ของงาน
1. งานพิมพ์อิงค์เจ็ท ภายใน (Inkjet Indoor)
2. งานพิมพ์อิงค์เจ็ท ภายนอก (Inkjet Outdoor)
3. งานพิมพ์อิงค์เจ็ท หมึกยูวี (Inkjet UV)
4. งานพิมพ์อิงค์เจ็ท บนผ้า (Digital textile)

1. งานพิมพ์อิงค์เจ็ท ภายใน (INKJET INDOOR)

ใช้สําหรับงานภายในอาคาร มองระยะใกล้ ประมาณ 30-100 cm. จึงต้องใช้งานพิมพ์ที่มีความละเอียดสูง มีความคมชัด สีสวยสดใส แต่ก็มีข้อจํากัดเหมือนกัน งานพิมพ์ภายในนั้นจะมีความทนทานน้อยจึงจําเป็นต้องทําการเคลือบฟิล์มป้องกันชิ้นงานด้านหน้าเพื่อป้องกันริ้วลอยต่างๆและน้ำ ซึ่งตัวฟิลม์นี้มีให้เลือกทั้ง ชนิดด้าน (Matte) เเละ ชนิดเงา (Gloss)

2. งานพิมพ์อิงค์เจ็ท ภายนอก (INKJET OUTDOOR)

ใช้สําหรับงานโฆษณาภายนอกอาคาร เป็นงานโฆษณาระยะไกล มีความละเอียดน้อยกว่าเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทแบบภายในอาคาร แต่มีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมกลางแจ้งสูงไม่ว่าจะเป็นแดดและฝน เช่นป้ายโฆษณาขนาดต่างๆที่เราเห็นได้ตามท้องถนน อายุการใช้งานของงานพิมพ์ประเภทอิงค์เจ็ทภายนอกอาคารนี้ จะมีอายุการใช้งาน ประมาณ 0.5 – 2 ปี ขึ้นอยู่กับคุณภาพของวัสดุและหมึกพิมพ์ที่เลือกใช้

ปัจจุบันเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ท outdoor บางยี่ห้อมีการพัฒนาเทคโนโลยีด้านหัวพิมพ์ที่มีความละเอียดใกล้เคียงกับเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ท indoor จึงทําให้สามารถใช้งานได้ทั้งภายในและภายนอกอาคาร ไม่จําเป็นต้องเคลือบฟิล์มป้องกันด้านหน้าหรือหากต้องการเคลือบก็สามารถทําได้

3. งานพิมพ์อิงค์เจ็ท หมึกยูวี (INKJET UV)

งานพิมพ์อิงค์เจ็ท ยูวี เป็นเป็นเทคโนโลยี่น้องใหม่ในวงการเมื่อเทียบกับการพิพม์แบบเดิมๆ UV เป็นการใช้เครื่องพิมพ์ inkjet ด้วยหมึก UV ที่สามารถแห้งละพร้อมใช้งานได้เลยเมื่อหัวพิมพ์ได้ทำการพ่นสีลงไปบนวัสดุแล้วซึ่งต่างจากการพิพิมพ์งานแบบอื่นๆที่ต้องใช้เวลาซักระยะเพื่อให้สีได้เซ็ทตัว งานพิมพ์ INKJET UV นั้นใช้ได้งานโฆษณาทั้งภายในและภายนอกอาคาร และด้วยเทคโนโลยี่ใหม่ๆที่มีการพัฒนาอยู่เลื่อยๆให้อายุการใช้งานของงานพิมพ์ประเภทอิงค์เจ็ทยูวีนี้ จะมีอายุการใช้งานได้ถึง ประมาณ 1.5 – 3 ปี ขึ้นอยู่กับสถานที่ติดตั้งและคุณภาพของวัสดุ ถึงงานพิมพ์อิงค์เจ็ท ยูวี นั้นจะเพียบพร้อมในทุกด้านแบบนี้ แต่ก็ยังมีข้อเสียอยู่ด้วยเหมือนกัน

ข้อดี

  • สามารถพิมพ์ลงตรงบนพื้นผิวทุกวัสดุ แม้กระทั้งแผ่นหนังแท้หรือเทียม และสามารถพิมพ์ลงเป็นวัสดุแบบแผ่นได้เลยหรือแบบม้วนก็ได้ขึ้นอยู่กับรุ่นของเครื่องพิมพ์
  • สีของหมึกพิมพ์ UV นั้นติดทนนานไม่ซีดเร็วเมื่อเทียบกับหมึก inkjet ทั่วไป แม้จะเจอกับสภาพอากาศและแสงแดดที่โหดร้ายในบ้านเรา
  • สามารถใช้ทนแทนงานพิมพ์ INKJET ทั้ง INDOOR และ OUTDOOR ได้ เพราะมีความละเอียดสูงได้ถึง 1440 dpi และคงยังทดแดดทนฝน
  • ไม่มีกลิ่นสีมารบกวน หากนำมาใช้ในงาน INDOOR
  • และยังมีลูกเล่นต่างอีกมากมายที่เครื่องพิมพ์ INKJET แบบหมึกทั่วไปมาสามารถทำได้ ทำให้งานพิมพ์ UV นั้นโดดเด่นในสายตาลูกค้าแน่นอน

ข้อเสีย

  • มีราคาการผลิตสูงกว่าการพิมพ์ด้วยหมึก INKJET ทั่วไป
  • งานที่พิมพ์ด้วยหมึก UV นั้นจะออกด้านๆ (Matt) นิดดึง ดังนั้นหากลูกค้าต้องการงานที่มีความมันเงา จึงอาจจะต้องมีการเคลือฟิล์มเงา (Gloss) ด้วย

4. งานพิมพ์ผ้า (Digital textile)

งานพิมพ์ผ้า ใช้ส่าหรับงานโฆษณาภายในและภายนอกอาคารหรืองานตกแต่งต่างๆ มีความละเอียดน้อยกว่า เครื่องพิมพ์อิ้งค์เจ็ท อินดอร์ อายุการใช้งานของงานพิมพ์ผ้าจะมีอายุการใช้งานขึ้นอยู่กับคุณภาพของแต่ละชนิด ปัจจุบันงานพิมพ์ผ้ากําลังเป็นที่นิยมในตลาดต่างประเทศ
วัสดุผ้าที่นำมาใช้พิมพ์นั้นมีหลายหลาย ต้องเป็นสำหรับพิมพ์อิ้งเจ็ทเท่านั้น ตัววัสดุจะมีการโค้ทหน้าเพื่อให้สีเกาะและทนความร้อน

Reference: http://www.d-conceit.com/inkjet-printing-system/

GRAPHIC DESIGN สำคัญกับ SME แค่ไหน?

เหล่า SME อาจยังไม่เข้าใจการมีค่าใช้จ่ายในการออกแบบ และมักมีคำถามว่า ทำไมค่าออกแบบแพงจังโดยเหตุผลทั้งหมดเหล่านี้จะทำให้นักออกแบบสามารถตอบคำถามของ SME เหล่านี้ได้อย่างครบถ้วน และเหตุผลทั้งหมดนี้เช่นกันที่จะทำให้เหล่า SME ทั้งหลายได้ทราบว่าการออกแบบนั้นมีบทบาทและความสำคัญต่อธุรกิจเขาอย่างไร

หลายท่านทราบหรือไม่ว่าการออกแบบนั้นช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มต่อสินค้าของเราได้ รูปแบบผลิตภัณฑ์นั้นจะช่วยให้สินค้านั้นๆ ดูดี และนำไปสู่การขายที่เพิ่มขึ้นได้ ถึงแม้การออกแบบจะเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งในการทำให้สินค้าขายได้ แต่ก็คือว่าเป็นส่วนที่สำคัญเช่นกันนะ

เหตุผลต่อไปนี้จะช่วยให้ SME เข้าใจใน Graphic Design และหมดข้อข้องใจในการจ่ายค่าออกแบบ

1. ความประทับใจแรก

การเห็นสินค้าครั้งแรกหากมีความโดดเด่น สะดุดตา น่าสนใจ ก็อาจเป็นจุดที่ทำให้ลูกค้าหันมาสนใจตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นโดยที่ไม่ได้สนใจว่าสินค้านั้นคืออะไรก็เป็นได้ คล้ายกับ First Impression ที่เห็นครั้งแรกและเกิดความประทับใจ ความชำนาญของกราฟิกดีไซน์นี้เองที่ไม่ใช่เรื่องยากในออกแบบ โดยไม่ได้ถึงแค่ Packaging หรือ Logo แต่หมายถึงทุก Touchpoint ดังนั้นยกหน้าที่เหล่านี้ให้เป็นของนักออกแบบเถอะนะ

2. บอกเล่าเรื่องราว

ภาพลักษณ์ของสินค้าต้องสามารถสื่อสารออกมาให้มีความน่าสนใจโดยผ่านรูปทรง สี ตามแต่ผู้ประกอบและนักออกแบบทำความตกลงเพื่อให้เข้าใจได้ตรงกันทั้งนี้การออกแบบต้องมีความสอดคล้องกับคอนเสปของสินค้าและบริษัทเป็นหลัก สิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวกำหนดความสามารถของนักออกแบบอีกด้วย

3. เป็นที่จดจำได้ง่าย

การสร้างโลโก้ของแบรนด์ให้โดดเด่นและเป็นที่น่าจดจำได้ง่าย เมื่อสร้างโลโก้ให้เป็นเอกลักษณ์แล้ว แน่นอนว่าภาพลักษณ์ของเราก็จะดูดีตามไปด้วยเช่นกัน และความโดดเด่นนี้เองจะทำให้ลูกค้าจดจำได้ส่งผลให้ยอดขายอาจเพิ่มขึ้นได้ด้วย

4. สร้างความแตกต่าง

ไม่แปลกที่เราต้องสร้างความแตกต่างให้กับแบรนด์ของเรา เพื่อให้ลูกค้าจดจำสินค้าของเราได้ เพราะสินค้าและบริการที่มีอยู่มากมายในประเทศของเรามักซ้ำกันซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรอยู่แล้ว ดังนั้นนักออกแบบจะช่วยคุณให้มีความแตกต่างอย่างสร้างสรรค์ โดดเด่น และตอบโจทย์ความเป็นสินค้าของเราอีกด้วย

5. กระตุ้นการซื้อสินค้า

การออกแบบที่ดีอาจไม่ได้มีเพียงแค่ความสวยงามเท่านั้น ต้องมีการออกแบบที่กระตุ้นให้เกิดความต้องการในสินค้าด้วยการกดปุ่ม สั่งซื้อปุ่มนี้เองที่จะทำให้เกิดการสร้างรายได้เกิดขึ้น อาจต้องอาศัยรูปแบบการจัดวางให้เหมาะสม การใช้งานที่ไม่ได้ยุ่งยากซับซ้อนจนเกินไป อีกทั้งพฤติกรรมของผู้บริโภค ที่จะทำให้เราออกแบบให้ตอบโจทย์กับการซื้อของผู้บริโภคมากขึ้น  

5. ประหยัดในระยะยาว

แรกเริ่มของการออกแบบอาจมีราคาที่ค่อนข้างสูง แต่จะคุ้มค่ามากกว่าในระยะยาว เพราะอย่างที่กล่าวข้างต้นว่าภาพลักษณ์คือสิ่งสำคัญมากที่จะทำให้โดดเด่นและเป็นจุดสนใจของผู้บริโภค ถ้าหากสินค้านำออกสู่ตลาดแล้วพบว่าภาพลักษณ์ไม่ดีหรือโลโก้ไม่น่าสนใจก็อาจทำให้ยอดขายไม่ประสบความสำเร็จได้เช่นกัน

เพราะการสร้างแบรนด์ไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นบริษัทขนาดใหญ่ เดี๋ยวนี้ SME หรือบางธุรกิจก็มีการใช้ Graphic Design เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการประกอบธุรกิจด้วย เพื่อที่ว่าจะได้สร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์และสินค้าให้มีความโดดเด่น น่าสนใจ และดึงดูดให้ซื้อสินค้าอีกด้วย

 

ที่มา (https://www.wynnsoftstudio.com/the-importance-of-Graphic-Design-at-the-SME)

อัพเกรดธุรกิจด้วยการตกแต่งภายในต่างๆ

ธุรกิจจะประสบความสำเร็จไม่ได้ ถ้าขาดองค์ประกอบที่ดี ซึ่งนอกจากผลิตภัณฑ์หรือกลยุทธ์ทางการตลาดแล้ว การ ตกแต่งพื้นที่ ให้สวยงามและพร้อมตอบโจทย์การใช้งาน ด้วยเฟอร์นิเจอร์ที่มีดีไซน์ลงตัวกับทุกความต้องการและการตกแต่งหน้าร้านต่างๆ ก็สามารถสร้างบรรยากาศของพื้นที่ธุรกิจในฝันให้กลายเป็นจริงได้อย่างสมบูรณ์ มีผลงานวิจัยหลายแห่งบอกไว้ว่า บรรยากาศและสภาพแวดล้อมที่ดีในสถานที่ทำงาน คือหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้การทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะธุรกิจที่มีหน้าร้านหรือธุรกิจที่ต้องมีพื้นที่รองรับลูกค้า การเลือกใช้วิธีกาตกแต่งภายในที่สามารถตอบโจทย์ฟังก์ชั่นได้อย่างครบครัน ทั้งความสวยงามและการใช้งานที่ลงตัว ก็จะช่วยเพิ่มมูลค่าแห่งความประทับใจให้กับลูกค้าหรือผู้ใช้บริการมากยิ่งขึ้น วันนี้เราจึงนำไอเดียดีๆ ในการ ตกแต่งพื้นที่ ธุรกิจต่างๆ

 

แต่ว่าบางทีการอัพเกรดภายในใหม่ทั้งหมดอาจจะใช้งบประมาณเยอะ เราจะอยากจะแนะนำการตกแต่งภายในด้วยการใช้ sticker wallpaper ต่างๆเข้ามาเปลี่ยน mood and tone ให้กับธรุกิจเรา หรือ การใช้ sticker ต่างๆเข้ามาตกแต่งให้ดูดียิ่ง หรือแม้กระทั้ง ป้ายตัวอักษรต่างๆ การใช้กล่องไฟ หรือ ทีวี เข้ามาเพื่มความน่าสนใจและดึงดูดลูกค้า แค่นี้เราก็สามารถอัพเกรดธรุกิจของเราให้ดูทันสมัยมากขึ้นโดยใช้งบน้อยได้

 

Reference: http://www.propertyinsight.co/Daily+Update/ตกแต่งพื้นที่/

สเปคของไวนิลที่ควรรู้

ไวนิลแต่ละยี่ห้อนั้นจะมีสเปคของไวนิลแต่ละประเภท เราต้องเลือกใช้ให้เหมาะกับงาน การเลือกใช้ไวนิลเหมาะสมกับการใช้งานนั้นจะทำให้เราใช้ประโยชน์ได้เต็มที่และได้คุณภาพที่ดีสุดกับความต้องการของเรา การดูสเปคของไวนิลนั้นสามารถแบ่งออกเป็นข้อๆได้ดังนี้

Weight คือน้ำหนักต่อตารางเมตร จะมีหน่วยเป็นกรัม ตัวอย่างเช่น 360g (gram) คือ ไวนิลมีน้ำหนัก 360 กรัมต่อตารางเมตร

Thickness คือความหนาของไวนิลเช่น 0.3, 0.35 +- 0.02 mm. หมายถึงไวนิลมีความหนา 0.3 mm. หรือ ไวนิลมีความหนา 0.35 mm. +- ไม่เกิน 0.02 mm. เป็นต้น

Surface คือประเภทของผิวหน้าไวนิล เช่น Matte หรือ Glossy แต่งานส่วนใหญ่นั้นจะเป็น Glossy

Width คือหน้ากว้างของไวนิล จะเริ่มตั้งแต่ 0.92, 1.22, 1.32, 1.52, 1.82, 2.22, 2.52, 2.82, 3.20 เมตร.

Length คือความยาวของไวนิล โดยปกติไวนิล 1 ม้วน จะมีมาตรฐานความยาวอยู่ที่ 50 เมตร

 

ตัวอย่างจากการใช้งานจริง

จากประสบการณ์การในการทำงานตลอดระยะเวลามากกว่า 10 ปี เราอยากแนะนำการเลือกใช้สเปคของไวนิลให้ลูกค้าดังนี้

ป้ายไวนิล ขนาดเล็ก ขนาดไม่เกิน 3×3 m. เราจะเลือกใช้ไวนิลที่มีความหนาอยู่ที่ 310g ก็เพียงพอต่อการใช้งาน สามารถร้อยท่อแล้วขึงกับโครงสร้างหน้างานได้สบายๆ อาจจะเพิ่มเป็น 360g แล้วแต่สภาพหน้างานว่าติดสูงหรือกินลมมากแค่ไหน

ป้ายไวนิล ขนาดใหญ่ ขนาดตั้งแต่ 3 m. ขึ้นไป เราจะเลือกใช้ไวนิลที่มีความหนาตั้งแต่ 360g ขึ้นไป จะต้องมีการต่องานเพื่อให้ได้ขนาดตามที่ลูกค้าต้องการเพราะหน้ากว้างใหญ่ที่สุดของไวนิลนั้นจะอยู่ที่ 3.20 เมตร จึงจำเป็นต้องมีการต่อหลายๆชิ้นเข้าด้วยกัน ซึ่งหากหน้างานนั้นต้องเจอกับสภาพอากาศที่มีแรงลมตลอดเวลา ความหนา 400g – 440g จึงเป็นทางเลือกที่ควรใช้ นอกจากนี้ความหนาและเส้นด้ายที่เหมาะสมยังช่วยให้ป้ายใช้งานได้ยาวขึ้นอีกด้วย อย่างไรก็ตามป้ายขนาดใหญ่การติดตั้งที่หน้างานจะมีความแตกต่างกัน เราจึงจำเป็นเลือกสเปคให้เหมาะสมกับการใช้งานนั้นๆด้วย

Content Marketing คืออะไร

Content Marketing คือ เทคนิคด้านการตลาด ในการสร้างและแจกจ่าย Content (เนื้อหา) ที่มี “คุณค่า” กับกลุ่มเป้าหมาย โดยมีจุดประสงค์ให้กลุ่มเป้าหมายกลับมาสร้างรายได้ให้เรา หรือพูดง่ายๆคือเนื้อหาที่สร้างขึ้นมาเพื่อหวังผล (ทั้งในทางตรงและทางอ้อม) สร้างยอดขายและรายได้ให้กับแบรนด์เรา

 

สำหรับ Content ในที่นี้สามารถเป็นเนื้อหาในสื่อใดก็ได้นะครับ ตัวอย่างของสื่อที่ได้รับความนิยมมาก ก็คือ:

 

บทความ

ข้อเขียนในหน้าเว็บไซต์ต่าง ๆ อาจจะเป็นโพส Facebook หรือเนื้อหายาว ๆ ในเว็บไซต์ก็ได้

 

กราฟิก  

ก่อนหน้านี้ก็มีเทรนด์การทำ Infographic สวย ๆ ที่ย่อข้อเขียนยาว ๆ ให้อ่านง่ายขึ้นด้วยรูปเข้าใจง่าย โพสลงใน Facebook แล้วได้รับความนิยมมาก ถึงขนาดมีบริษัทที่เปิดขึ้นมารับทำ Infographic โดยเฉพาะเลย

 

วีดิโอ

การทำวีดิโอได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะมี Youtube.com ที่แบรนด์สามารถสร้าง Video Channel ของตัวเองได้ฟรี แถมมีฐานผู้ใช้มหาศาล ซึ่งถ้าติดตาม Cannes Award จะเห็นวีดิโอได้รางวัลหลายตัวเลยที่สร้างขึ้นมาทำ Content Marketing

 

รายการวิทยุ (Podcast)

ถึงในไทยจะไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่าไหร่ แต่ในต่างประเทศการอัดเสียงตัวเองพูดเรื่องอะไรสักอย่างเป็นเหมือนรายการวิทยุ แล้วเผยแพร่ทาง iTune, เว็บไซต์ส่วนตัว เป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมมากครับ คนที่พูดเก่ง ๆ กลายเป็นคนดัง มีคนเชิญไปเป็น Speaker ในงานต่าง ๆ มากมายเลยทีเดียว

 

การทำ Content Marketing มันต่างกับการตลาดทั่วไปยังไง

การตลาดแบบเดิมที่เราทำกันทั่วไป หรือ Traditional Marketing คือการทำการตลาดผ่านพวกโฆษณาในทีวีหรือป้ายโฆษณา เป็นการตลาดที่ต้องขัดจังหวะ (Interrupt) กลุ่มเป้าหมายเพื่อนำเสนอ ตัวอย่าง ของ Traditional Marketing เช่น เรากำลังดูรายการประกวดร้องเพลงชื่อดังรายการหนึ่งอยู่อย่างมีความสุข แต่แล้วก็ถูกโฆษณายาสีฟันแทรกขึ้นมา หรือเรากำลังขับรถอยู่บนถนน เราก็เห็นป้ายโฆษณาสีสันดึงดูดจนอาจจะละสายตาออกจากถนนไปได้เลย

 

การตลาดด้วยเนื้อหา หรือ Content Marketing เป็นการตลาดที่นำเสนอเนื้อหาที่น่าสนใจมาให้กลุ่มเป้าหมายเลือกดูได้ ซึ่งมี คุณค่าและดึงดูดให้กลุ่มเป้าหมายของเรานั้นเกิดความสนใจและต้องดูในที่สุด  ตัวอย่าง ของ Content Marketing เช่น เรากำลังเลื่อน News Feed หาเรื่องมาซุบซิบนินทาเพื่อนใน Facebook แล้วไปเจอเพื่อนเราแชร์บลอคเกี่ยวกับการออกกำลังกายที่เราสนใจอยู่พอดี เลยคลิกเข้าไปดู

 

ทำไมเราถึงต้องทำ Content Marketing

หลายคนอาจสงสัยว่า ในเมื่อเราทำโฆษณาใน Facebook, Google Adwords, SEO, SEM, PPC ต่าง ๆ แล้ว ก็น่าจะเพียงพอแล้ว ทำไมต้องทำ Content Marketing ด้วย จาก Case Study ของ Josh Steimle ซึ่งเป็น CEO ของบริษัท MWI – Digital Agency เค้าบอกว่าก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่า การที่คนจะซื้อของสิ่งหนึ่ง ต้องผ่านช่วงอะไรบ้าง (หลายคนอาจจะเคยได้ยินในคำว่า Customer Journey หรือ Funnel ครับ)

 

Customer Journey โดยพื้นฐานแล้วจะแบ่งออกเป็น 4 ข้อ:

Awareness = ลูกค้าอาจไม่รู้ว่าตัวเองต้องการสิ่งนี้มาก่อน เราก็ต้องทำให้เค้ารู้ตัว (Aware)

Research = พอลูกค้ารู้ตัวแล้ว เค้าก็จะหาข้อมูลเกี่ยวกับสินค้านั้น เช่น คนที่อยากซื้อรถ ก็จะค้นดูว่ามีรถรุ่นไหนบ้างที่เหมาะกับเค้า

Consideration = พอได้ข้อมูลครบแล้ว ลูกค้าก็จะทำการเปรียบเทียบว่าสินค้ารุ่นไหนที่เหมาะกับเค้าที่สุด และซื้อจากไหนที่ได้ราคาเหมาะสมที่สุด

Buy = สุดท้ายเมื่อตัดสินใจได้แล้ว ลูกค้าก็จะทำการสั่งซื้อ

 

คุณ Josh บอกว่าการตลาดแบบเดิม ๆ (Traditional Marketing) เหมาะมากกับ 2 ข้อหลังใน Customer Journey (Consideration และ Buy) ส่วน Content Marketing เหมาะสมมากกับ 2 ข้อแรก (Awareness และ Research) โดยการทำให้กลุ่มเป้าหมายรู้ตัว (Aware) ว่ามีสินค้าที่แก้ปัญหาให้เค้าได้อยู่ และให้ความรู้เกี่ยวกับสินค้าผ่านบทความ / วีดิโอต่าง ๆ (Research)โดยบริษัทของ Josh ได้ลูกค้าเพิ่มขึ้นมา 1000% ในปีที่ผ่านมา จากการทำ Content Marketing ที่ใช้เวลาประมาณ 20 ชั่วโมงเท่านั้น ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าจนกำไรท่วมท้นเลยทีเดียว

ป้ายโฆษณาดีอย่างไร?

การโฆษณาถือว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำการตลาดเพื่อที่จะบอกกล่าวให้กลุ่มเป้าหมาย หรือ กลุ่มลูกค้า ของเรานั้นรับรู้ถึงสินค้า, บริการ, และตำแหน่งของเรา และยังคงสื่อคุณค่าและความหน้าเชื่อถือให้แก่กลุ่มลูกค้าเราอีกด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะนำไปสู่การกระตุ้นความต้องการที่จะบริโภคสินค้าและบริการของเรานั้นเอง โดยเจ้าของกิจการจะว่าจ้างบริษัทรับทำโฆษณา เพื่อทำการโฆษณาสินค้าและบริการในสื่อต่างๆ เช่น ป้ายโฆษณากลางแจ้งตามถนนสายหลัก ซึ่งเป็นสื่อที่ช่วยประหยัดงบประมาณได้และสามารถสร้างความรับรู้หรือตระหนักถึงแบรนด์สินค้าได้อีกทางหนึ่ง ป้ายโฆษณา เป็นสื่อที่มีความสำคัญมากในวงการประชาสัมพันธ์และโฆษณา เพราะป้ายโฆษณาสามารถเผยแพร่ได้สะดวกและกว้างขวาง เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ทุกพื้นที่สามารถสื่อสารกับผู้บริโภคได้ทุกเพศทุกวัย ทุกระดับการศึกษา มีความยืดหยุ่นในการออกแบบ สามารถออกแบบกราฟิกได้อย่างอิสระเพื่อโน้มน้าวความรู้สึกได้เป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าในปัจจุบันการโฆษณาบนสื่อดิจิตอลต่างๆ เช่น โซเชียลมีเดีย และ เว็ปต่างๆ กำลังเป็นที่สนใจของใครหลายๆคน แต่อย่างไรก็ตามป้ายโฆษณาก็ยังคงเป็นสื่อสำคัญมาก เพราะป้ายโฆษณานั้นสามารถสร้างความน่าเชื่อถือและภาพลักษณ์ของแบรนด์ได้ดีกว่า ละยังการันตีว่ากลุ่มลูกค้าของเราในจุดต่างๆนั้นจะได้รับข้อมูลละการโฆษณาสินค้าและบริการที่เราต้องการจะสื่อสารได้อย่างแน่น และด้วยผลวิจัยจาก (Lancaster, Kreshel and Harris 1986) ได้พบว่าเมื่อผู้บริโภคได้เห็นโฆษณาเดิมๆซ้ำๆกันมากกว่า 3 ครั้งนั้น จะทำให้โฆษณานั้นๆมีผลกระทบต่อความต้องการซื้อของผู้บริโภคละนำไปสู่การซื้อหรือการหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสินค้าละบริการนั้นๆ

 

ข้อดีของป้ายโฆษณา

ครอบคลุมพื้นที่กว้างขวาง และสามารถเลือกตั้งเฉพาะพื้นที่ได้

– มีความถี่ในการมองเห็นบ่อย เพราะจุดติดตั้งส่วนใหญ่เป็นเส้นทาง หรือบริเวณที่ต้องเดินผ่านไปมาเสมอ

– สามารถดึงดูดความสนใจได้ดี

– ไม่มีข้อจำกัดในเรื่องเวลาในการนำเสนอข้อมูล

– ข้อความที่กะทัดรัด ทำให้เกิดความสนใจและเป็นจุดเด่นที่ทำให้เกิดความจดจำ

 

ข้อเสียของป้ายโฆษณา

– การนำเสนอข้อมูลมีข้อจำกัดสูง ทำให้ขาดรายละเอียดเมื่อเปรียบเทียบกับสื่อชนิดอื่นๆ เช่น โซเชียลมีเดีย

– การผลิตจำเป็นต้องใช้ความละเอียดอ่อนสูง เสียค่าใช้จ่ายมาก

– เป็นการไม่รักษาสิ่งแวดล้อมที่ดี

 

Reference: http://www.billboardconstructor.com/advertising