5 วิธีสร้าง FIRST IMPRESSION และดึงดูดความสนใจลูกค้าจากภาพกราฟิก

ความนิยมชมชอบของคนในปัจจุบันนั้นมักเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย เมื่อเทคโนโลยี สมาร์ทโฟน มีการถูกนำมาใช้งานในสังคมและกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน พฤติกรรมการเสพสื่อ และรับข่าวสารต่างๆ ก็มีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน เมื่อเทคโนโลยีเร็วขึ้น การรับข่าวสารก็ต้องการข่าวสารที่สื่อสารได้เร็วและสามารถเข้าใจได้ทันที จึงจะทำให้เข้ากับสังคมปัจจุบันในตอนนี้

เช่นเดียวกันกับการสื่อสารทางธุรกิจ เมื่อผู้รับข่าวสารก็ต้องการข่าวสารและการโปรโมทที่สามารถเข้าใจได้ง่าย ที่จะเป็นการดึงดูดให้คนได้สนใจ อาจเป็นรูปภาพเกี่ยวกับกราฟิก เพราะสมัยนี้กราฟิกกลายเป็นสิ่งที่จำเป็นกับทุกธุรกิจไปเสียแล้ว นั่นก็เป็นเพราะว่ากราฟิกที่มีความสวยงามนั้นสามารถดึงดูดให้คนสนใจได้มากกว่าตัวหนังสือ อีกทั้งหลายธุรกิจได้ปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของสังคมมากขึ้น สนใจและทำกราฟิกเพื่อสื่อสารมากกว่าเมื่อก่อน และเทคนิคใดบ้างที่จะช่วยให้การสร้างงานกราฟิกนั้นดึงดูดความสนใจจากลูกค้ามากที่สุด

 

ภาพกราฟิกสามารถดึงดูดผู้คนได้

เมื่อเราทำธุรกิจและต้องการโปรโมทให้เป็นที่รู้จัก หรือสนใจจากลูกค้าที่ผ่านไปมา การทำกราฟิกดูน่าจะเป็นหนทางที่สามารถสื่อสารได้ง่ายที่สุด เพราะคนเราสามารถจดจำรูปภาพได้มากกว่าตัวหนังสือ เช่นกันเราอาจเคยเดินผ่านป้ายโฆษณาที่มีการใช้ภาพกราฟิกรูปแบบต่างๆ ที่ชวนให้เราได้หยุดยืนดูและชวนให้จดจำ แต่หากเราจะสื่อสารในรูปแบบใดก็มีคนให้ความสนใจอยู่แล้ว แต่การใช้รูปภาพนั้นจะทำให้มีแรงดึงดูดมากกว่า

 

เกิดการจดจำได้ง่าย

เมื่อเราสร้างรูปภาพกราฟิกที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถจดจำได้ง่ายแล้ว การออกแบบเอกลักษณ์ต่างๆ ที่นักออกแบบได้ใส่ลงไปในงานกราฟิกนั้น จะช่วยให้เกิดภาพจำต่อสินค้าและบริการของเราจากรูปภาพกราฟิกนั้นได้ไม่ยาก อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มเรื่องราวให้กับสินค้าเพื่อให้จดจำสินค้าได้ โดยส่วนใหญ่นั้นจะเห็นได้จากการออกแบบโลโก้ต่างๆ ของผลิตภัณฑ์ที่มีการใช้กราฟิกเป็นตัวนำ

 

แสดงออกถึงความแตกต่าง

เพราะนอกจากเอกลักษณ์ของงานกราฟิกที่จะช่วยให้แบรนด์ของเรามีเอกลักษณ์ที่โดดเด่น เรายังสามารถแยกกลุ่มลูกค้าตามความชอบ จากการออกแบบกราฟิกได้อีกด้วย

 

นอกจากนั้นยังมีการออกแบบที่ช่วยดึงดูดความสนใจ โดยอาศัยองค์ประกอบในการออกแบบอื่นๆ ทั้งนี้ความสวยงามและความชอบอาจขึ้นอยู่กับผู้รับสาร ดังนั้นการออกแบบกราฟิกอาจจำเป็นต้องอาศัยวิธีการและรูปแบบที่สามารถเข้าถึงคนทั่วไป และไม่มีความแตกต่างจนเกินไป

 

1. การออกแบบให้ภาพอยู่ในโทนสีเดียวกัน

ถือเป็นเรื่องพื้นฐานในการออกแบบงานกราฟิก เพราะสีนั้นจะสามารถสื่อสารอารมณ์ที่แตกต่างกันออกไปได้ ตัวอย่างเช่น สีโทนร้อนแสดงถึงความกระฉับกระเฉง ความรวดเร็ว, สีโทนเย็นให้ความรู้สึกสงบและสบาย สร้างความสมดุลในเรื่องของโทนสีของกราฟิกถือเป็นเรื่องสำคัญ

 

2. เลือกใช้สีและรูปแบบตัวอักษรให้เข้ากับภาพ

เพราะการทำกราฟิกจำเป็นต้องให้ความหมายของภาพและตัวอักษรนั้นสามารถสื่อความหมายไปในทิศทางเดียวกัน ดังนั้นจำเป็นต้องเลือกใช้สีตัวอักษรให้คล้ายคลึงกับโทนสีของภาพและแบบอักษรด้วย

 

3. จัดวางองค์ประกอบอย่างลงตัว

พื้นฐานของงานกราฟิกที่ดี คือ การจัดวางองค์ประกอบให้มีความเหมาะสม เพื่อให้ภาพออกมาสวยงาม ไม่มากจนเกินไปและไม่น้อยจนเกินไป รวมไปถึงการจัดวางองค์ประกอบแต่ละอย่างควรอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องด้วย

 

4. ออกแบบกราฟิกโดยอาศัยพื้นฐานของความหมาย

การทำกราฟิกที่ถูกต้องและได้ผล คือการตั้งโจทย์ว่าต้องการใส่อะไรลงไปและสื่อสารออกมาให้มีความเข้าใจอย่างไร แล้วเริ่มสร้างงานจากความหมายเหล่านั้น สิ่งที่เราได้รับคือผลงานที่ถูกใจ อีกทั้งสามารถสื่อความหมายตรงตามความต้องการมากที่สุด

 

5.ใครดูก็เข้าใจได้

ข้อแตกต่างระหว่างภาพวาดและผลงานทางศิลปะ กับการทำกราฟิกคือ กราฟิกนั้นคือการออกแบบให้คนส่วนใหญ่สามารถรับรู้และเข้าใจ สื่อสารความหมายได้ง่าย แตกต่างจากศิลปะที่ต้องประกอบด้วยความเข้าใจที่หลากหลาย

เพราะการทำกราฟิกนั้นไม่ใช่เรื่องที่ยุ่งยากและซับซ้อน เพียงแค่เหล่านักออกแบบต้องศึกษาและตีความหมายให้ตรงตามบรีฟงานที่ได้รับ อีกทั้งสามารถสร้างผลงานที่สื่อความหมายได้ตรงตามโจทย์มากที่สุด จะส่งผลให้ผู้ออกแบบทำงานได้ง่ายขึ้นและเจ้าของธุรกิจก็พอใจในสิ่งที่ได้รับ และสร้างยอดขาย ผลกำไรและชื่อเสียงต่อแบรนด์สินค้าอีกมากมายนั่นเอง

 

ที่มา(https://www.wynnsoftstudio.com/5_Ways_to_Create_a_First_Impression_and_attract_customers_from_the_graphic)

5 ประโยชน์ที่แบรนด์ได้จากการทำ Content marketing

1. สร้างการรับรู้เกี่ยวกับแบรนด์ของเราในกลุ่มลูกค้า

ทุกๆแบรนด์ต้องการต้องการให้ตนเองเป็นที่รู้จักในกลุ่มลูกค้า หรือพูดง่ายๆให้แบรนด์ติดหูกลุ่มลูกค้านั้นเองและ ต้องการที่จะขยายฐานลูกค้าขึ้นไปเรื่อย เพื่อให้แบรนด์ของคุณได้เติบโตในตลาด
แล้วทำไมการทำ content marketing ทำให้เกิด brand awareness? คำตอบคือ เพราะการที่เราลงเนื้อหาเพื่อให้กลุ่มลูกค้าเข้ามาดูหรือศึกษาในสิ่งที่เป็นปัญหาหรือสิ่งเป็นข้อมูลเพื่อนำไปสู่การซื้อ และเมื่อเราสามารถลงเนื้อหา (content)ที่สามารถตอบโจทย์นั้นๆได้ แบรนด์เราก็สามารถจะเป็นที่จดจำในกลุ่มลูกค้าได้ในที่สุดนั้นเอง

 

2. ลดระยะเวลาในการตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการ

อย่างที่ได้กล่าวไปในข้อ 1. เมื่อกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย (potential customers) ของเราเข้ามาหาข้อมูล หรือ รีวิว ของปัญหาที่พวกเขากำลังเจอ และถ้า content ของเราสามมรถตอบโจทย์หรือให้ข้อมูลเพียงพอ ก็จะนำไปสู่การตัดสินใจซื้อสินค้าละบริการของเราได้เร็วยิ่งขึ้น หรือพูดง่ายๆคือการเพิ่มแรงจูงใจในการซื้อ

 

3. ลดค่าใช้จ่าย

แน่นอนอยู่แล้วว่าถ้าเราสามมรถลง content ที่ดีอยู่ตลอดเวลาก็จะทำให้มีลูกค้าติดตามสินค้าและบริการของเราเพิ่มมากขึ้น ทำให้เราประหยัดค่าโฆษณาต่างๆลงไปอีก เช่น Cost Per Lead (CPL) และ Cost of Acquiring Customer (CAC) หรือสรุปง่ายๆคือจำนวนเงินต่อหัวในการที่ทำให้ลูกค้ามาซื้อสินค้าและบริการของเรา

 

4. เพิ่มรายได้

อย่างที่ได้พูดไปแล้วในข้อ 3 ข้อแรกนั้น จะทำให้เราสามมรถขายสินค้าและบริการได้เยอะขึ้น เพราะจะมีทั้งลูกค่าเก่าละลูกค้าใหม่ที่เข้ามาซื้อมากขึ้น (Average Order Value (AOV) และ Customer Lifetime Value (CLV)) เนื่องจากการที่ได้ดูหรือศึกษา content ที่เราลง

 

5. การรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า

การหาลูกค้าใหม่นั้นสำคัญมาก แต่การรักษาฐานลูกค้าเก่านั้นก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะการที่เราลง content ที่มีความรู้ สนุก และมีคุณค่า จะทำให้ลูกค้านั้นอยู่ติดกับเราไม่ไปไหน ซึ่งจะทำให้แบรนด์ของเรานั้นได้เติบโตละพัฒนาอย่างยั่งยืน

4 ขั้นในการสร้าง Content Marketing ให้ประสบความสำเร็จ

เมื่อต้องทำ Content Marketing ในยุคนี้กลายเป็นสิ่งจำเป็นในหลาย ๆ องค์กร ทำให้หลาย ๆ ที่นั้นต้องแสวงหาวิธีการต่าง ๆ ที่จะทำให้ Content Marketing ของตัวเองให้ประสบความสำเร็จขึ้นมา ถ้ามีงบประมาณมากมายก็จะใช้วิธีการในการจ้างมืออาชีพมาช่วยทำหรือช่วยปรึกษาในการทำขึ้นมา ถ้ามีเวลาก็จะเอาตัวเองไปเรียนและทำการเรียนรู้ แต่ถ้าไม่มีทั้งเงินและเวลาที่จะไปลงเรียนเป็นวิชาการแบบนั้นจะทำอย่างไร
สำหรับคนเริ่มทำ Content Marketing เองการเริ่มต้นการทำ Content นั้นหลาย ๆ คนนั้นคงจะงง หรือสับสันอย่างกมา และยิ่งใหญ่มาก แถมจะทำให้ประสบความสำเร็จนั้นยากมาก แถมต้องลงทุน ลงแรงสูงในการที่จะสร้าง Digital Asset ต่าง ๆ ขึ้นมา พร้อมที่จะต้องมีการทำอะไรต่าง ๆ มากมายไม่ว่าจะเป็น การทำให้ขายของได้ การหา Lead ใหม่ การเชื่อมกับการตลาดอื่น ๆ เข้ามา สิ่งที่ช่วยได้เพื่อที่จะลดความสับสนเหล่านี้ขึ้นมา นั้นคือการขั้นตอนในการทำงานที่แน่ชัด ทำให้สามารถสร้าง flow ของงานได้อย่างเรียบร้อยขึ้นมา แถมจะทำให้การทำงานนั้นง่ายลงอย่างมากอีกด้วย ซึ่งขั้นตอนการทำ Content Marketing นั้นมีง่าย ๆ เพียง 4 ขั้นตอนที่คุณสามารถเอาไปปรับใช้ได้ทันทีคือ

 

1. Research

ก่อนที่จะทำอะไรทุกครั้ง สิ่งสำคัญคือการวางแผยกลยุทธ์ที่จะทำเพื่อให้ได้งานที่ตรงกับเป้าหมายที่ต้องทำออกมา การทำการหาข้อมูล เพื่อทำกลยุทธ์และการวางแผนต่าง ๆ นั้นเป็นขั้นตอนที่ควรมีในทุก ๆ งานและทำให้เข้าใจว่างานจะต้องทำอะไรบ้าง เพื่ออะไร แล้วต้องทำอย่างไร ซึ่งทั้งหมดนี้จะเหมือนเป็นคำแนะนำหรือคำบอกทางในการเดินทางได้เลยเพื่อให้ถึงเป้าหมายที่จะไปให้ได้ราบรื่นที่สุด แล้วจะต้องใช้อะไรบ้างในการหาข้อมูล นี้คือเนื้อหาที่ควรจะมีในการหาข้อมูลต่าง ๆ ออกมา
1.1 กลุ่มเป้าหมายเป็นใคร : การจะทำงานครั้งหนึ่งก็ต้องรู้ว่าจะสื่อสารกับใครที่ไหน ซึ่งคนกลุ่มนี้คิดอะไรอยู่ หรือต้องการอยากรู้อะไร ชอบข้อความหรือสื่อประเภทแบบไหน มีอุปสรรคและปัญหาอะไรที่แบรนด์เราจะช่วยเข้าไปแก้ผ่าน Content ได้บ้าง แล้วเค้าจะมาเจอ Content เราได้อย่างไรออกมา
1.2 บริษัทของเรา : บริษัทหรือสินค้าของเรานั้นมีแก่นคืออะไรที่จะตอบโจทย์ผู้บริโภค มีเป้าหมายขององค์กร หรือ motivation อย่างไร ตัวตนของบริษัทของตัวเองเป็นอย่างไร และเป้าหมายของการทำงานในครั้งนี้บริษัทนั้นคาดหวังอะไรออกมา
1.3 คู่แข่ง : ทางคู่แข่งนั้นทำอะไรอยู่บ้าง ใช้วิธีการสื่อสารแบบไหน คนแบบไหนที่คู่แข่งกำลังสนใจอยู่ และทำแบบไหนเราถึงจะแตกต่างกับคู่แข่ง ซึ่งวิธีการที่ง่ายที่สุดก็คือการใช้ SWOT ออกมา

 

2. Strategy

การทำกลยุทธ์นั้นเป็นสิ่งที่นำข้อมูลที่เราได้มาทั้งหมดจากการค้นคว้ามาสร้างการตะดสินใจหรือทางที่จะเดินต่าง ๆ ในการตลาด ซึ่งในที่นี้เราจะพูดถึง Content Strategy ซึ่งเป็นการสร้างกลยุทธ์ในการทำ Content ที่จะทำให้ Content ให้ถูกทาง ถูกคนและถูกเวลาอีกด้วย แถมเปลี่ยนกลยุทธ์นี้เป็นแผนการทำงานออกมาได้

2.1 ตั้งการวัดผลออกมาว่า Content ที่จะทำนั้นจะวัดผลการแบบไหนที่ถือว่าได้ผล ไม่ได้ผล แล้วแบบไหนถือว่าประสบความสำเร็จขึ้นมา ซึ่งเป้าหมายนี้ต้องสอดคล้องกับเป้าหมายทางการตลาดและเป้าหมายทางธุรกิจอีกด้วย

2.2 สร้างแผนงานว่าจะต้องทำ content อะไรบ้าง และต้องผลิต Content แบบไหน หรือ Format แบบไหนออกมา

2.3 วางแผนว่าจะใช้เครื่องมืออะไรในการทำให้ Content นั้นกระจายตัวหรือทำให้เกิดการเห็นและการปฏิสัมพันธ์กับ Content ให้ถึงกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการให้มากที่สุด

2.4 ใส่ทั้งหมดลงในแผนตารางการโพสงานทั้งหมดเอาไว้

 

3. Production

เมื่อ Content Strategy นั้นพร้อมแฃ้ง สิ่งสำคัญคือการสร้างชิ้นงานต่าง ๆ นั้นออกมา ซึ่งจุดนี้เป็นจุดที่หลาย ๆ แคมเปญที่ทำ Content นั้นล้มเหลว เพราะการสร้าง Content นั้นยากและหลาย ๆ คนนั้นไม่สามารถสร้างการทำงานได้สม่ำเสมอออกมา สิ่งที่จะช่วยคุณได้ในการทำชิ้นงานออกมาได้ต่อเนื่องคือการมีสิ่งเหล่านี้

3.1 สร้าง content calendar เพื่อทำงานให้ตรงเวลา รู้ว่าจะต้องใช้ชิ้นงานอะไรเพื่อเชื่อมต่อลิงก์ไปไหน การใช้คำ และรู้ว่าจะต้องไปโพสช่องทางไหน

3.2 เริ่มทำงาน Content แต่เนิ่น ๆ ในต้นสัปดาห์และใช้เวลาในการทำงานให้หนักก่อนที่จะลงมือจริง เพื่อให้ได้งานที่ดีออกมาก่อนเผยแพร่

3.3 สร้าง Style guide ในการเขียนงานออกมา เพื่อเป็นแนวทางให้ทุกคนที่ทำงานไม่หลุดกรอบจากสิ่งที่ควรจะเป็น เช่นการมีลักษณะการสื่อสารที่เหมือนกัน โครงสร้างการเขีบน และวิธีการเขียนออกมา

3.4 สร้าง headline ที่น่าดึงดูดและพยายามปรับแต่ง headline นั้นให้ดีเสมอ ๆ เพื่อทำให้รู้สึกสามารถเข้าถึงได้ง่ายและเข้าใจได้ทันทีในกลุ่มเป้าหมาย

 

4. Refinement  

เมื่อทำ Content ออกไป ขั้นสุดท้ายคือการมาตรวจสอบว่าเมื่อทำไปแล้วได้ตรงกับที่ค้นคว้า และวางแผนเอาไว้ไหม ซึ่งขั้นตอนนี้เรียกได้ว่าการปรับแต่ง หรือเอาไปปรับปรุงใน Content ที่จะทำถัดไปได้ โดยคุณต้องเอา Content ที่เผยแพร่ไปแล้วมาดูข้อมูลที่เกิดขึ้นว่าแต่ละ content มีประสิทธิภาพอย่างไร และทำงานได้ดีไหม ลองดูผลตอบรับและการพูดคุยใน Content นั้นมีไหม

4.1 ลองดูว่า Headline ไหนได้ผล แล้วลองมาปรับให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายให้มากที่สุด และปรับแต่งให้ดีขึ้นไป

4.2 ลองดูว่าเนื้อหาแบบไหนที่ผู้อ่านชอบ และช่องทางไหนชอบเนื้อหาแบบไหน ก็จัดการส่งเนื้อหาที่ชอบได้ถูกที่ ส่วนเนื้อหาที่ไม่ชอบลองเปลี่ยนวิธีการนำเสนอเผื่อจะเจอหนทางที่ใช่ออกมา

4.3 ลองดูว่าช่องทางไหนไม้ได้ผลตอบรับ และช่องทางไหนให้ผลที่ดี ก็ปรับปรุงหรือโยกกำลังมาทำในส่วนที่ได้ผลดีแทนมากกว่า

ทั้ง 4 ข้อนี้คือกระบวนการทำ Content Marketing ให้ได้ผลและมีประสิทธิภาพมากที่สุด ใครที่อยากจะลองหัดการทำ Content Marketing ลองเอากระบวนการเหล่านี้ไปปรับใช้ดู เผื่อจะทำให้การทำงานของคุณที่กำลังทำอยู่มีวิธีการทำงานที่ดีขึ้นและได้ผลมากขึ้น

 

ที่มา (https://www.marketingoops.com/exclusive/how-to/4-step-content-marketing-success/)

3 เทคนิคใช้ภาพเพิ่มยอดขาย

ยุค Social Media ทุกวันนี้ ภาพประกอบสินค้าสำคัญมาก แบรนด์ที่มีภาพสวยๆประกอบการขาย มีโอกาสที่จะเรียกลูกค้าได้มากกว่า มีโอกาสที่จะได้ยอดขายมากกว่าแบรนด์ที่มีภาพธรรมดาทั่วๆไป

ก่อนจะเข้าเรื่องถ่ายภาพ เราต้องมีเป้าหมายในใจก่อน ว่าภาพที่เราจะใช้นั้นจะเป็นแบบไหน มาดู 3 เทคนิคการใช้ภาพเพื่อเพิ่มยอดขายกันครับ

 

1.ใช้ภาพให้โดนใจลูกค้า

คุณต้องรู้ว่าภาพแบบไหนที่ลูกค้าชอบ ภาพแบบไหนที่จะช่วยส่งเสริมให้ยอดขายเติบโตขึ้น ไม่ว่าจะเป็นภาพสินค้าที่เห็นทุกมุมอย่างชัดเจน ภาพสินค้าที่แสดงการใช้งานประกอบ หรือกระทั่งภาพรีวิวจากลูกค้า เมื่อรู้ว่าภาพแบบไหนที่ส่งผลต่อยอดขายของคุณ คุณจะมีเป้าหมายว่าต้องใช้ภาพแบบไหนเพื่อทำให้ธุรกิจโตขึ้น

 

2.หาสไตล์ตัวเองให้เจอ

สไตล์คือการนำเสนอความเป็นตัวเอง การที่คุณใช้ภาพที่บ่งบอกถึงสไตล์ที่ชัดเจนจะทำให้ลูกค้าจำแบรนด์ของคุณได้ เมื่อลูกค้าจำได้แล้ว คุณจะมีแฟนพันธุ์แท้ที่จะช่วยสนับสนุนแบรนด์ของคุณ

 

3.สร้างภาพให้คนจำได้

นำเสนอสไตล์หรือความเป็นตัวตนของแบรนด์ซ้ำๆจนคนเกิดภาพจำขึ้นในใจ เพื่อให้ลูกค้าคุ้นเคยกับแบรนด์ของคุณ คุ้นเคยกับการนำเสนอของคุณ เมื่อลูกค้ารู้จักแบรนด์ของคุณแล้ว ลูกค้าจะไม่ต้องเสียเวลามาทำความรู้จักกับแบรนด์ของคุณใหม่ ความคุ้นเคยจะทำให้การขายเป็นไปได้ง่ายขึ้น

 

ที่มา (THE FOTO ARTS)

ประเภทของ ไวนิล (Vinyl) ที่ใช้กับงาน Inkjet

ป้ายไวนิลที่ใช้กับงาน inkjet และงานพิมพ์ส่วนใหญ่นั้น แบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ ไวนิลทึบแสง และ ไวนิลโปร่งแสง

 

ไวนิลทึบแสง คือ ไวนิลที่มีการเคลือบที่ด้านหลังเมื่อพิมพ์งานไปแล้วส่องไฟจะมองไม่ทะลุ ทำงานให้มีสีสดออกมาได้ตามแบบ (artwork) ซึ่งสามมรถแบ่งตามการใช้งานได้ 2 แบบหลักๆ คือ

  • แบบหลังขาว เป็นไวนิลที่เหมาะกับงานพิมพ์ Inkjet และพิมพ์ UV ทั่วไป และเป็นประเภทที่เป็นมาตราฐานและนิยมที่สุดในการพิมพ์งาน
  • แบบหลังดำ มีคุณสมบัติที่เหมาะในการใช้งานที่ต้องการกันแสงส่อง หรือ ต้องเจอแสงเยอะๆ

เพราะไวนิลแบบหลังขาวนั้นสามมรถให้แสงผ่านได้จึงทำให้สีของงานนั้นมีการเปลี่ยนแปลงได้เมื่อเจอกับแสง

ไวนิลโปร่งแสง (backlit) คือ ไวนิลที่มีการเคลือบที่ด้านหลังบางกว่าแบบทึบแสง ซึ่งแสงสามารถส่องทะลุได้ แบ่งเป็น 2 ประเภทฝ

  • แบบโปร่งแสง เป็นไวนิลที่สามารถให้แสงผ่านได้ จึงนิยมใช้สำหรับงานกล่องไฟ ที่เราเห็นตามป้ายด้านนอกของร้านค้าและตามห้างต่างๆ โดยใช้ Backlit และส่องไฟจากด้านหลังเพื่อให้งานออกมาสวยสด ดังนั้นจึงต้องใช้การพิมพ์ที่ให้หมึกหนาแน่นกว่าเป็นพิเศษ เพื่อเวลาส่องไฟแล้วสีไม่เพี้ยน
  • แบบตาข่าย เป็นไวนิลที่มีรูตาข่าย สามารถลดแรงปะทะของลมได้ดีกว่าแบบโปร่งแสงทั่วไป สามารถใช้ขึงตามอาคารสูงได้หรือกล่องไฟที่อยู่บนอาคารสูง จะมีระยะห่างของตาข่ายแตกต่างกันไปสามารถเลือกใช้ตามความเหมาะสม

ทำไมบริษัทใหญ่ๆต้องป้ายโฆษณา ?

การทำโฆษณาในปัจจุบันนั้นมีหลากหลายรูปแบบมากมาย มีทั้งประเภทที่ต้องใช้เงินลงทุนสูง ประเภทใช้เงินลงทุนน้อย และบางประเภทแทบไม่ต้องใช้เงินลงทุนเลยแม้แต่น้อย เนื่องจากช่องทางการประชาสัมพันธ์สิ่งค้าไปถึงกลุ่มเป้าหมายนั้น มีมากมายหลากหลายช่องทางนั้นเอง อาทิเช่น การโฆษณาทางอินเตอร์เน็ต ทางสื่อสังคมออนไลน์เช่น facebook instragram twiiter การโฆษณาทางทีวี วิทยุต่างๆ โดยป้ายโฆษณาก็เป็นสื่อโฆษณาอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งในปัจจุบันมีความสำคัญเป็นอย่างมาก นั่นก็เพราะว่าป้ายเป็นอีกปัจจจัยหนึ่ง ที่สามารถกำหนดความเป็นอยู่เป็นไปของธุรกิจของท่านได้ ป้ายโฆษณาเป็นการโชว์ภาพลักษณ์ของสินค้าท่าน ถ้าท่านทำสื่อด้านนี้ออกมาตรงใจลูกค้า นั่นก็ย่อมหมายถึงผลพลอยได้จากยอดขายจะมากมายมหาศาล แต่ถ้าท่านให้ความสนใจน้อยหรือแทบไม่มีความสนใจที่จะให้ความสำคัญกับป้ายโฆษณาของท่าน นั่นก็หมายถึงว่าสินค้าของท่านอาจจะมียอดขายที่ตกต่ำอย่างคาดไม่ถึง นักธุรกิจ หรือเจ้าของร้านค้าหลายท่านอาจคาดไม่ถึงว่า การทำสื่อโฆษณาแบบป้ายนี้ จะสามารถสร้างยอดขายให้แก่สินค้าของท่านมากน้อยเพียงใด หากท่านได้ลองสอบถามพูดคุยกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือธุรกิจที่ใหญ่โต เงินลงทุนมากมายมหาศาล อย่างห้างสรรถสินค้า หรือตัวแทนจำหน่ายสินค้าประเภทเสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า คอมพิวเตอร์ต่างๆ หรือแม้กระทั่ง เจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อย่างโครงการบ้านจัดสรรค์ต่างๆ ท่านอาจจะรู้ได้ว่าการทำป้ายโฆษณาโปรโมตสินค้านั้น สามารถสร้างยอดขายให้แก่สินค้าของพวกเขามหาศาลแค่ไหน ซึ่งป้ายโฆษณาที่บรรดาเจ้าของสินค้าต่างๆนิยมใช้ ที่เราเห็นทั่วไป อาทิเช่น ป้ายบิลบอร์ดตามถนน ป้ายคัทเอาท์ข้างทาง ป้ายไวนิลขนาดใหญ่ตามอาคารต่างๆ โดยเฉพาะบรรดาห้างสรรพสินค้าต่างๆ จะมีงบประชาสัมพันธ์ประเภทนี้แต่ละปีค่อนข้างสูงแต่ก็สร้างผลกำไรให้ลูกค้าได้มากเช่นเดียวกัน

 

Reference: http://www.at-ads.com/article/sign_article.html

ไวนิล คืออะไร

ไวนิล อาจจะเป็นคำติดหูของใครหลายๆคนไม่ว่าจะเป็นงาน inkjet หรือ งานอื่นๆอีกมากมาย แต่บางคนก็อาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความจริงแล้วว่าไวนิลคืออะไรและทำมาจากอะไร ไวนิล คือ โพลีเมอร์สังเคราะห์ชนิดหนึ่งที่ได้มาจากการผสมระหว่าง PVC (Polyvinyl Chloride) และสารเพิ่มประสิทธิภาพต่างๆ เช่น สารเพิ่มความทนทานต่อสภาวะอากาศ, สารเพิ่มความทนทานต่อความร้อน, สารเพิ่มความแข็งแรงและยืดหยุ่น, และสารประกอบอื่นๆ เพื่อที่จะสร้างส่วนผสมพิเศษที่สามารถนำไปใช้งานได้หลากหลายประเภทตามความต้องการของลูกค้า ไวนิลยังเป็นวัสดุที่ไม่มีปัญหาเรื่องการเกิดสนิม การรั่วซึมของน้ำฝน การผุกร่อนหรือบิดงอ และก็ไม่ติดไฟอีกด้วย จึงนิยมนำมาใช้ผลิตอุปกรณ์ใช้งานกลางแจ้งและที่สำคัญไวนิลมีความแข็งแรงและทดทานแสงแดดและสภาพอาศในเมืองไทยเป็นอย่างดี

 

(ที่มา : http://www.nstda.or.th)