4 ขั้นตอนจัดงานอีเว้นท์-ออกบูธง่ายๆ สำหรับมือใหม่!

การจัดแสดงงานอีเว้นท์เป็นหนึ่งในกลยุทธ์การตลาดยอดฮิตที่จำเป็นมาก ไม่ว่าจะเป็นบริษัทสตาร์ทอัพ และ บริษัทขนาดเล็กอย่าง SME ก็ต้องมองหาช่องทางการตลาดในการเข้าถึงลูกค้าและสร้างภาพลักษร์ของแบรนด์ให้เป็นที่จดจำในสายตาลูกค้า และเพื่อให้ลูกค้าได้ทำความรู้จักกับสินค้าของเราได้ง่ายมากกว่าการเข้าถึงช่องทางออนไลน์เพียงอย่างเดียว เพื่อเพิ่มช่องทางการขายและสำรวจความต้องการของลูกค้าใหม่ๆหรือปัญหาและทางแก้ไขที่ลูกค้าต้องการในตลาด สำหรับบทความนี้เรานำ 4 ขั้นตอนในการเตรียมตัวจัดงานอีเว้นท์-ออกบูธ และ งานจัดแสดงสินค้ามาให้กับผู้ประกอบการมือใหม่มาฝาก

1. เตรียมงบประมาณ และ สำรวจสถานที่
ก่อนจัดงานอีเว้นท์ หรือ งานแสดงสินค้านั้น การเตรียมงบประมาณไว้อย่างถี่ถ้วนเป็นเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างมาก เพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะไม่ใช้จ่ายเกินงบส่วนนี้ และ อย่าลืมสำรวจสถานที่การจัดงานแสดงสินค้าของคุณทั้งเรื่องความสะดวก ความปลอดภัย และ การใช้ไฟฟ้าของสถานที่นั้นๆ เพราะหากคุณไม่สามารถใช้อินเตอร์เน็ต หรือ เสียปลั๊กทำอย่างอื่นได้ นั่นอาจจะเป็นปัญหาภายหลัง ฉะนั้นอย่าลืมอ่านสัญญาการเช่าอย่างละเอียด

2. ลิสต์ชื่อแขกสำคัญ หรือ คนสำคัญที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจคุณ และ สื่อมวลชน
งานอีเว้นท์ และ งานจัดแสดงสินค้านั้นเป็นการได้รู้จักบุคคลผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณอีกหลายคนอย่างมากมาย ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ดีในการสร้างความสัมพันธ์ทางธุรกิจ เพราะฉะนั้นอย่าลืมลิสต์ชื่อต่างๆ ลงบนแพลนเนอร์ของคุณ หากคุณต้องการเรียกสื่อมวลชนมางานของคุณเพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ ควรเตรียมหนังสือเชิญสื่อมวลชนต่างๆไว้ให้เรียบร้อย

3. ออกแบบสถานที่ และ เลือกอุปกรณ์ตกแต่งงานของคุณ
เมื่อได้ตำแหน่งเหมาะสมในการตั้งบูธหรือจัดอีเว้นท์แล้ว การตกแต่ง การใช้สี การใช้คำก็มีส่วนดึงดูดคนได้เยอะเช่นกัน banner หรือ backdrop ที่ใช้ในการประดับเป็นพื้นหลังของบูธก็ควรจะออกแบบให้สะดุดตาและมองเห็นได้ง่ายจากระยะไกล ส่วนภายในบูธนั้นก็ควรจะจัดวางข้อมูลต่างๆ ให้เรียบง่าย ไม่รกจนเกินไป อาจจะมีทั้งบนโต๊ะ ข้างๆ ผนัง หรือแม้กระทั่งแผ่นป้ายตั้งข้างหน้าบูธเพื่อให้เกิดความหลากหลายในการมองสินค้าหรือข้อมูลของบูธเรา หลายๆ คนอาจจะคิดว่าองค์ประกอบภายนอกไม่ได้สำคัญเท่าตัวเนื้อหาของบูธ แต่ความจริงแล้วเราขอแนะนำว่าลงทุนกับการตกแต่งบูธสักหน่อยผลลัพธ์ที่ออกมาอาจจะดีกว่าที่คิดก็ได้

4. ประชาสัมพันธ์เพิ่มเติมสื่อออนไลน์ และ สื่อสิ่งพิมพ์ภายในงาน
การใช้สื่อมวลชนเป็นเครื่องมือประชาสัมพันธ์หลักอาจไม่เพียงพอ เพราะฉะนั้นอย่าลืมประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับงานคุณเพิ่มเติมหน้าเพจของคุณเป็นโซเชียลมีเดียต่างๆ เช่นเฟสบุ๊ค หรือ การสร้างกิจกรรมกับลูกเพจของคุณ ณ วันงาน ทั้งนี้เพื่อให้แขกผู้เข้างานได้รู้กิจกรรมภายในงานและจดจำคุณได้ดีมากยิ่งขึ้น อย่าลืมบอกเล่าประวัติของคุณ หรือ รายละเอียดต่างๆ ภายในงานลงบนแผ่นพับ หรือ ใบปลิว เพื่อวางไว้ที่ประตูทางเข้างาน เพื่อเป็นการแนะนำตัวสินค้าและบริการของเราเพื่อเป็นการเชิญชวนลูกค้าที่เข้ามาในงาน และสิ่งที่คุณขาดไม่ได้นั่นก็คือ นามบัตร!

เมื่อรู้อย่างนี้แล้วการออกอีเว้นท์หรือจัดบูธนั้นง่ายนิดเดียว เพราะ AHA AHA พร้อมบริการคุณทั้งการจัด-ตกแต่งอีเว้นท์หรือบูธของคุณ การพิมพ์ banner, backdrop หรือ การใช้สติ๊เกอร์ตกแต่งภายในบูธหรืออีเว้นท์ของคุณให้โดนเด่นเหนือคู่แข็ง ดึงดูดลูกค้าให้ต้องหยุดมางานของคุณแบบง่ายๆ สร้างภาพลักษณ์ให้กับแบรนด์ของคุณอีกทั้งเพิ่มโอกาสสร้างยอดขายให้สูงปรี๊ดนำคู่แข่ง เรียกได้ว่าการจัดบูธหรืออีเว้นท์ให้ประสบความเสร็จนั้นไม่ยากอย่างที่คิดเลย
Reference : https://www.zipeventapp.com/blog/2017/10/24/4-steps-event-management/

อะคริลิคคืออะไร? แล้วนำไปตกแต่งภายในได้อย่างไร?

อะคริลิคเป็นผลิตภัณฑ์พลาสติก ที่สังเคราะห์มาจากอนุพันธ์ของกรดอะคริลิค ซึ่งรูปแบบของสารที่ถูกนำมาใช้บ่อยๆ จะอยู่ในรูปของ Polymethyl Methacrylate acrylic หรือ PMMA เนื่องจากเป็นรูปที่มีความคงทนต่อสภาพอากาศ, มีความแข็งแรง, โปร่งใส และใช้งานได้หลากหลาย โดยโพลีเมอร์ที่นำมาใช้นั้น ก็จะมีคุณภาพที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับกระบวนการอัดฉีดขึ้นรูป เช่นเดียวกับเรื่องสีของโพลีเมอร์ทั้งใส, โปร่งแสง, ทึบแสง หรือมีสีสันอื่นๆ รวมทั้งคุณสมบัติในการทนความร้อน, การยอมให้แสงผ่าน, ความแข็งแรง และความสามารถในการยืดขยาย เป็นต้น

อะคริลิคค สามารถ ประยุกต์ใช้ในงานหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับ อุปกรณ์สำนักงาน เฟอร์นิเจอร์ Decorate Display สำหรับธุระกิจเครื่องสำอางค์ อุปกรณ์ตกแต่งในห้องน้ำ ป้ายโฆษณาหรือป้ายชื่อร้าน และอื่นๆ อีกมากมาย แต่มีการใช้งานบางอย่างที่นำจุดเด่นของพลาสติกมาใช้ได้อย่างลงตัว นั่นคือ

มีสมบัติโดดเด่นในเรื่องความเหนียว (toughness)
ความโปร่งใส (transparent)
สามารถขึ้นรูปได้ง่าย
การมีความหนาแน่นต่ำ

เรียกได้ว่ามีคุณสมบัติ หลายๆอย่างนี้ สามารถทำให้อะคริลิกเป็นสวัสดุที่นำไปตกแต่งภายในและภายนอกอาคารได้เป็นอย่างดีเลย โดยทั่วไปนั้นอะคริลิคจะถูกนำไปใช้เป็นป้ายตัวอักษรติดตามผนังอาคาร, ประตู, และกระจก เพื่อความสวยงามและยังสื่อการกับลูกค้าได้อีกด้วย เช่น ตัวอักษรอะคริลิคติดผนังบอกชื่อร้านหรือบริษัท, ลูกศรบอกทาง และ ชื่อโซนต่างๆในอาคาร, หรือแม้กระทังนำไปทำชื่อเมนูอาหาร-กาแฟ สำหรับอาหารเพื่อเพิ่มความสวยงามและหรูหราให้กับร้านของเรา และอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้การตกแต่งด้วยอะคริลิคนั้นเป็นที่นิยมก็เพราะว่าตัวอะคริลิคนั้นมีมิติ และ ความทนทานมากกว่าการตกแต่งด้วยการใช้สติ๊กเกอร์ทั่วไปแม้ด้วยราคาที่แพงกว่าสติ๊กเกอร์เพียงเล็กน้อย อะคริลิคก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่จะเพิ่มความหนาดึงดูด และ ความสวยงามให้กับหน้าร้านของคุณ

ภาษีป้ายโฆษณาคืออะไร? ใครเป็นคนจ่าย?

หลายๆคนอาจจะยังไม่รู้ว่าการขึ้นป้ายโฆษณานั้นจะต้องมีการเสียภาษีป้ายให้กับภาครัฐตามกฎหมายกำหนด โดยภาษีป้าย ณ ที่นี้ คือ ภาษีที่จัดเก็บจากป้ายโฆษณาสินค้าต่างๆ แล้วที่นี้เราจะได้รู้ได้อย่างไรว่าป้ายโฆษณาที่เรามีอยู่ หรือ กำลังจะมีนั้นจะต้องเสียภาษีตามที่กฏหมายกำหนดหรือไม่? มาดูกันครับ

ป้ายที่ต้องเสียภาษี
ได้แก่ ป้ายที่แสดงชื่อ ยี่ห้อหรือเครื่องหมาย ที่ใช้ในการประกอบการค้าหรือประกอบกิจการอื่น เพื่อหารายได้หรือโฆษณาการค้าหรือกิจการอื่นเพื่อหารายได้ ไม่ว่าจะได้แสดงหรือโฆษณาไว้ที่วัตถุใด ๆ ด้วยอักษร ภาพ หรือเครื่องหมายที่เขียน แกะสลัก จารึก หรือทำให้ปรากฏด้วยวิธีอื่น

นี่คือข้อนิยามของป้ายที่จะต้องเสียภาษีป้ายโฆษณาตามกฎหมายครับ โดยภาษีป้ายโฆษณานั้นจะแตกต่างกันไปตามภาษาและตัวอักษรที่ใช้ในป้ายโฆษณาของเรานั้นเอง ตามกฎหมาย ภาษีป้ายโฆษณามีทั้งหมด 3 ประเภท
(1) ป้ายที่มีอักษรไทยล้วนให้คิดอัตรา 10 บาทต่อห้าร้อยตารางเซนติเมตร
(2) ป้ายที่มีอักษรไทยปนกับอักษรต่างประเทศและหรือปนกับภาพและหรือเครื่องหมายอื่นให้คิดอัตรา 100 บาท ต่อห้าร้อยตารางเซนติเมตร
(3) ป้ายดังต่อไปนี้ ให้คิดอัตรา 200 บาทต่อห้าร้อยตารางเซนติเมตร
(ก) ป้ายที่ไม่มีอักษรไทยไม่ว่าจะมีภาพหรือเครื่องหมายใด ๆ หรือไม่
(ข) ป้ายที่มีอักษรไทยบางส่วนหรือทั้งหมดอยู่ใต้หรือต่ำกว่าอักษรต่างประเทศ

โดยทั่วไปภาษีป้ายส่วนใหญ่จะจัดอยู่ในประเภทสองเพราะว่าลูกค้าจะต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายที่จะมีเพิ่มเติมจากการใช้ภาษาอื่นล้วนนอกจากภาษาไทยในป้ายโฆษณาของตนเอง หรือ บริษัทป้ายโฆษณาจะแจ้งกับลูกค้าก่อนทำการตกลงขึ้นป้าย ให้ลูกค้ารู้ถึงส่วนต่างระหว่างภาษีป้ายประเภท 2 และ 3 ซึ่งค่อนข้างแพงกว่ากันพอสมควรเลยทีเดียว ดังนั้นลูกค้าควรคำนึงถึงภาษีป้ายให้ดีก่อนการออกแบบภาพกราฟฟิกหรือข้อความโฆษณาของตนเอ

โดยทั่วไปแล้วบริษัทป้ายโฆษณาหรือผู้ให้เช่าป้ายโฆษณาจะเป็นผู้รับผิดชอบภาษีป้าย แต่อย่างไรก็ตามจะต้องมีการทำข้อตกลงกับลูกค้าก่อนขึ้นป้ายเสมอความทางบริษัทจะรับผิดชอบภาษีป้ายโฆษณาประเภทไหนบ้าง เช่น ทางบริษัทจะรับผิดชอบภาษีป้ายโฆษณาประเภท 1 และ 2 แต่เพียงผู้เดียว แต่หากเป็นภาษีป้ายโฆษณาประเภท 3 ทางบริษัทจะรับผิดชอบ 50% และลูกค้ารับผิดชอบ 50% หรือ ลูกค้าเป็นผู้รับผิดชอบภาษีป้ายโฆษณาประเภท 3 100% เป็นต้น

ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับภาษีป้าย

  • ป้ายที่เปลี่ยนแปลงแก้ไขพื้นที่ป้าย ข้อความภาพหรือเครื่องหมายบางส่วนในป้ายได้เสียภาษีป้ายแล้วอันเป็นเหตุให้ต้องเสียภาษีป้ายเพิ่มขึ้น ให้คิดอัตราตาม 1 , 2 หรือ 3 แล้วแต่กรณีและให้เสียเฉพาเงินภาษีที่เพิ่มขึ้น
  • เศษของ 500 ตารางเซนติเมตร ถ้าเกินครึ่งให้นับเป็น 500 ตารางเซนติเมตร ถ้าต่ำกว่าปัดทิ้ง
  • ป้ายใดเมื่อคำนวณแล้ว จำนวนเงินต่ำกว่า 200 บาท ให้เสีย 200 บาท
  • ภาษีป้ายจะต้องเสียเป็นรายงวด โดยจะเริ่มนับตั้งแต่เดือน มีนาคม ของทุกปี
  • ภาษีป้ายสามารถทำเรื่องผ่อนชำระได้

ใช้สติ๊กเกอร์-ฉลากสินค้ากับผลิตภัณฑ์แล้วดีอย่างไร?

แน่นอนว่าในสมัยนี้มีหลายๆคนฝันอยากมีแบรนด์เป็นของตัวเอง โดยอยากจะเริ่มจากการขายสิ่งที่เราชอบหรือเรามีความรู้ความเชี่ยวชาญในสินค้านั้นๆ มาเป็นรายได้เสริมจากงานประจำหรือแม้กระทั้งเริ่มต้นตั้งธุรกิจของตัวเองตามความฝัน แต่แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนจะประสบความสำเสร็จในตลาดที่เต็มไปด้วยการแข่งขันและการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นสติ๊กเกอร์และฉลากสินค้าที่เรานำมาใช้กับสินค้าเรานั้นจึงเป็นหนึ่งปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้แบรนด์ของเราประสบความสำเร็จ

สติ๊กเกอร์หรือฉลากสินค้าที่เรานำมาใช้กับสินค้าของเรานั้นถือว่ามีความสำคัญมากเพราะสติ๊กเกอร์และฉลากสินค้าที่ดีจะช่วยดึงดูดลูกค้าให้มาสนใจในตัวสินค้าของเราจากการออกแบบด้วยลวดลายกราฟิกและสีสันที่สวยงามเช่น โลโก้, ชื่อแบรนด์, สโลแกนของแบรนด์, และรูปภาพต่างๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะนำไปสู่โอกาสปิดการขายหรือพูดง่ายๆว่าลูกค้าตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าของเรานั้นเอง นอกจากนี้ในบางสินค้าอาจจะเป็นสินค้าเช่น สินค้านำเข้า หรือ สินค้าที่ไม่มีภาษาไทยอยู่บนตัวฉลาก ที่ต้องการอธิบายข้อมูลต่างๆ การใช้สติ๊กเกอร์บอกเพื่อบอกข้อมูลและข้อดีต่างๆเพิ่มลงไปก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะทำให้สินค้ามีความน่าเชื่อถือและนำไปสู่การปิดการขาย นอกเหนือจากสินค้าประเภทที่อยู่ในบรรจุภัณฑ์แล้วนั้น สินค้าประเภทเสื้อผ้าหรือประเภทอื่นๆที่ไม่ได้อยู่ในบรรจุภัณฑ์ก็ยังสามารถใช้สติ๊กเกอร์มาเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเราได้เหมือนกันเช่น การใช้สติ๊กเกอร์ที่มีโลโก้หรือชื่อแบรนด์เรามาติดกระดาษห่อสินค้าและติดเพื่อปิดถุงใส่สินค้านั้นก็เป็นการเพิ่มมูลค่าและคุณค่าให้กับสินค้าและแบรนด์ของคุณอีกด้วย

ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าการออกแบบสติ๊กเกอร์และฉลากสินค้าให้ดูสวยงามน่าดึงดูดและนำมาใช้กับสินค้าของเรานั้นจะมูลค่าและความน่าเชื่อถือให้กับสินค้าของเรา และเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้สินค้าของเรานั่นประสบความสำเร็จในตลาด และพาเราไปถึงฝัน

INKJET คืออะไร

การพิมพ์ INKJET คือการพิมพ์ด้วยหลักการพ่นหมึกลงบนวัสดุต่างๆ เหมือนกับเครื่อง inkjet printer ที่ใช้กันทั่วไปตามบ้านละสำนักงาน แต่พิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์ขนาดใหญ่และคุณภาพดีกว่ามาก ไม่ว่าจะพ่นหมึกตรงจุดใดก็ตาม เครื่องก็จะสามารถทำการพ่นหมึกลงไปตามวัสดุที่ต้องการได้อย่างแม่นยำ ด้วยการประมวลผลของตัวเครื่องที่แทบจะไม่มีความผิดพลาด ให้สีที่มีความคมชัดและตัวอักษรที่ชัดเจน ซึ่งอย่างไรก็ตามความละเอียดของงานนั้นก็ขึ้นอยู่กับเครื่องพิมพ์นั้นๆด้วย โดยปัจจุบันเครื่องพิมพ์ INKJET โดยทั่วไปนั้นความละเอียดอยู่ที่ 720 dpi ถึง 1440 dpi (DPI ในที่นี้นั้นหมายถึง “Dots per inch” หรือจำนวนของเม็ดสีต่อนิ้ว ถ้ายิ่งสูงงานก็จะยิ่งละเอียดตามมาไปด้วย และแน่นอนว่าราคาก็จะสูงตามไปด้วยเหมือนกัน)โดยการงานพิมพ์ INKJET จะสามารถทำงานได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น งานภายใน (INDOOR) หรือ งานภายนอก (OUTDOOR) ขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้า จึงทำให้ INKJET เหมาะสมแก่การใช้กับงานสื่อสิ่งพิมพ์เป็นอย่างมาก โดยจะได้งานที่ออกมามีคุณภาพยอดเยี่ยม ให้ความละเอียดสูงเหมาะกับการใช้งานในหลายรูปแบบตอบทุกโจทย์ความต้องการ และให้การลงทุนที่ต่ำแต่ได้งานที่น่าพึงพอใจ ละที่สำคัญงาน INKJET นั้นเป็นสื่อโฆษณาที่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้เป็นอย่างดี

ประเภทของงานพิมพ์ INKJET

งานพิมพ์ INKJET นั้นจะสามารถแบ่งออกเป็น 4 หัวข้อสำคัญๆตามลักษณ์ของงาน
1. งานพิมพ์อิงค์เจ็ท ภายใน (Inkjet Indoor)
2. งานพิมพ์อิงค์เจ็ท ภายนอก (Inkjet Outdoor)
3. งานพิมพ์อิงค์เจ็ท หมึกยูวี (Inkjet UV)
4. งานพิมพ์อิงค์เจ็ท บนผ้า (Digital textile)

1. งานพิมพ์อิงค์เจ็ท ภายใน (INKJET INDOOR)

ใช้สําหรับงานภายในอาคาร มองระยะใกล้ ประมาณ 30-100 cm. จึงต้องใช้งานพิมพ์ที่มีความละเอียดสูง มีความคมชัด สีสวยสดใส แต่ก็มีข้อจํากัดเหมือนกัน งานพิมพ์ภายในนั้นจะมีความทนทานน้อยจึงจําเป็นต้องทําการเคลือบฟิล์มป้องกันชิ้นงานด้านหน้าเพื่อป้องกันริ้วลอยต่างๆและน้ำ ซึ่งตัวฟิลม์นี้มีให้เลือกทั้ง ชนิดด้าน (Matte) เเละ ชนิดเงา (Gloss)

2. งานพิมพ์อิงค์เจ็ท ภายนอก (INKJET OUTDOOR)

ใช้สําหรับงานโฆษณาภายนอกอาคาร เป็นงานโฆษณาระยะไกล มีความละเอียดน้อยกว่าเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทแบบภายในอาคาร แต่มีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมกลางแจ้งสูงไม่ว่าจะเป็นแดดและฝน เช่นป้ายโฆษณาขนาดต่างๆที่เราเห็นได้ตามท้องถนน อายุการใช้งานของงานพิมพ์ประเภทอิงค์เจ็ทภายนอกอาคารนี้ จะมีอายุการใช้งาน ประมาณ 0.5 – 2 ปี ขึ้นอยู่กับคุณภาพของวัสดุและหมึกพิมพ์ที่เลือกใช้

ปัจจุบันเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ท outdoor บางยี่ห้อมีการพัฒนาเทคโนโลยีด้านหัวพิมพ์ที่มีความละเอียดใกล้เคียงกับเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ท indoor จึงทําให้สามารถใช้งานได้ทั้งภายในและภายนอกอาคาร ไม่จําเป็นต้องเคลือบฟิล์มป้องกันด้านหน้าหรือหากต้องการเคลือบก็สามารถทําได้

3. งานพิมพ์อิงค์เจ็ท หมึกยูวี (INKJET UV)

งานพิมพ์อิงค์เจ็ท ยูวี เป็นเป็นเทคโนโลยี่น้องใหม่ในวงการเมื่อเทียบกับการพิพม์แบบเดิมๆ UV เป็นการใช้เครื่องพิมพ์ inkjet ด้วยหมึก UV ที่สามารถแห้งละพร้อมใช้งานได้เลยเมื่อหัวพิมพ์ได้ทำการพ่นสีลงไปบนวัสดุแล้วซึ่งต่างจากการพิพิมพ์งานแบบอื่นๆที่ต้องใช้เวลาซักระยะเพื่อให้สีได้เซ็ทตัว งานพิมพ์ INKJET UV นั้นใช้ได้งานโฆษณาทั้งภายในและภายนอกอาคาร และด้วยเทคโนโลยี่ใหม่ๆที่มีการพัฒนาอยู่เลื่อยๆให้อายุการใช้งานของงานพิมพ์ประเภทอิงค์เจ็ทยูวีนี้ จะมีอายุการใช้งานได้ถึง ประมาณ 1.5 – 3 ปี ขึ้นอยู่กับสถานที่ติดตั้งและคุณภาพของวัสดุ ถึงงานพิมพ์อิงค์เจ็ท ยูวี นั้นจะเพียบพร้อมในทุกด้านแบบนี้ แต่ก็ยังมีข้อเสียอยู่ด้วยเหมือนกัน

ข้อดี

  • สามารถพิมพ์ลงตรงบนพื้นผิวทุกวัสดุ แม้กระทั้งแผ่นหนังแท้หรือเทียม และสามารถพิมพ์ลงเป็นวัสดุแบบแผ่นได้เลยหรือแบบม้วนก็ได้ขึ้นอยู่กับรุ่นของเครื่องพิมพ์
  • สีของหมึกพิมพ์ UV นั้นติดทนนานไม่ซีดเร็วเมื่อเทียบกับหมึก inkjet ทั่วไป แม้จะเจอกับสภาพอากาศและแสงแดดที่โหดร้ายในบ้านเรา
  • สามารถใช้ทนแทนงานพิมพ์ INKJET ทั้ง INDOOR และ OUTDOOR ได้ เพราะมีความละเอียดสูงได้ถึง 1440 dpi และคงยังทดแดดทนฝน
  • ไม่มีกลิ่นสีมารบกวน หากนำมาใช้ในงาน INDOOR
  • และยังมีลูกเล่นต่างอีกมากมายที่เครื่องพิมพ์ INKJET แบบหมึกทั่วไปมาสามารถทำได้ ทำให้งานพิมพ์ UV นั้นโดดเด่นในสายตาลูกค้าแน่นอน

ข้อเสีย

  • มีราคาการผลิตสูงกว่าการพิมพ์ด้วยหมึก INKJET ทั่วไป
  • งานที่พิมพ์ด้วยหมึก UV นั้นจะออกด้านๆ (Matt) นิดดึง ดังนั้นหากลูกค้าต้องการงานที่มีความมันเงา จึงอาจจะต้องมีการเคลือฟิล์มเงา (Gloss) ด้วย

4. งานพิมพ์ผ้า (Digital textile)

งานพิมพ์ผ้า ใช้ส่าหรับงานโฆษณาภายในและภายนอกอาคารหรืองานตกแต่งต่างๆ มีความละเอียดน้อยกว่า เครื่องพิมพ์อิ้งค์เจ็ท อินดอร์ อายุการใช้งานของงานพิมพ์ผ้าจะมีอายุการใช้งานขึ้นอยู่กับคุณภาพของแต่ละชนิด ปัจจุบันงานพิมพ์ผ้ากําลังเป็นที่นิยมในตลาดต่างประเทศ
วัสดุผ้าที่นำมาใช้พิมพ์นั้นมีหลายหลาย ต้องเป็นสำหรับพิมพ์อิ้งเจ็ทเท่านั้น ตัววัสดุจะมีการโค้ทหน้าเพื่อให้สีเกาะและทนความร้อน

Reference: http://www.d-conceit.com/inkjet-printing-system/

GRAPHIC DESIGN สำคัญกับ SME แค่ไหน?

เหล่า SME อาจยังไม่เข้าใจการมีค่าใช้จ่ายในการออกแบบ และมักมีคำถามว่า ทำไมค่าออกแบบแพงจังโดยเหตุผลทั้งหมดเหล่านี้จะทำให้นักออกแบบสามารถตอบคำถามของ SME เหล่านี้ได้อย่างครบถ้วน และเหตุผลทั้งหมดนี้เช่นกันที่จะทำให้เหล่า SME ทั้งหลายได้ทราบว่าการออกแบบนั้นมีบทบาทและความสำคัญต่อธุรกิจเขาอย่างไร

หลายท่านทราบหรือไม่ว่าการออกแบบนั้นช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มต่อสินค้าของเราได้ รูปแบบผลิตภัณฑ์นั้นจะช่วยให้สินค้านั้นๆ ดูดี และนำไปสู่การขายที่เพิ่มขึ้นได้ ถึงแม้การออกแบบจะเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งในการทำให้สินค้าขายได้ แต่ก็คือว่าเป็นส่วนที่สำคัญเช่นกันนะ

เหตุผลต่อไปนี้จะช่วยให้ SME เข้าใจใน Graphic Design และหมดข้อข้องใจในการจ่ายค่าออกแบบ

1. ความประทับใจแรก

การเห็นสินค้าครั้งแรกหากมีความโดดเด่น สะดุดตา น่าสนใจ ก็อาจเป็นจุดที่ทำให้ลูกค้าหันมาสนใจตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นโดยที่ไม่ได้สนใจว่าสินค้านั้นคืออะไรก็เป็นได้ คล้ายกับ First Impression ที่เห็นครั้งแรกและเกิดความประทับใจ ความชำนาญของกราฟิกดีไซน์นี้เองที่ไม่ใช่เรื่องยากในออกแบบ โดยไม่ได้ถึงแค่ Packaging หรือ Logo แต่หมายถึงทุก Touchpoint ดังนั้นยกหน้าที่เหล่านี้ให้เป็นของนักออกแบบเถอะนะ

2. บอกเล่าเรื่องราว

ภาพลักษณ์ของสินค้าต้องสามารถสื่อสารออกมาให้มีความน่าสนใจโดยผ่านรูปทรง สี ตามแต่ผู้ประกอบและนักออกแบบทำความตกลงเพื่อให้เข้าใจได้ตรงกันทั้งนี้การออกแบบต้องมีความสอดคล้องกับคอนเสปของสินค้าและบริษัทเป็นหลัก สิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวกำหนดความสามารถของนักออกแบบอีกด้วย

3. เป็นที่จดจำได้ง่าย

การสร้างโลโก้ของแบรนด์ให้โดดเด่นและเป็นที่น่าจดจำได้ง่าย เมื่อสร้างโลโก้ให้เป็นเอกลักษณ์แล้ว แน่นอนว่าภาพลักษณ์ของเราก็จะดูดีตามไปด้วยเช่นกัน และความโดดเด่นนี้เองจะทำให้ลูกค้าจดจำได้ส่งผลให้ยอดขายอาจเพิ่มขึ้นได้ด้วย

4. สร้างความแตกต่าง

ไม่แปลกที่เราต้องสร้างความแตกต่างให้กับแบรนด์ของเรา เพื่อให้ลูกค้าจดจำสินค้าของเราได้ เพราะสินค้าและบริการที่มีอยู่มากมายในประเทศของเรามักซ้ำกันซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรอยู่แล้ว ดังนั้นนักออกแบบจะช่วยคุณให้มีความแตกต่างอย่างสร้างสรรค์ โดดเด่น และตอบโจทย์ความเป็นสินค้าของเราอีกด้วย

5. กระตุ้นการซื้อสินค้า

การออกแบบที่ดีอาจไม่ได้มีเพียงแค่ความสวยงามเท่านั้น ต้องมีการออกแบบที่กระตุ้นให้เกิดความต้องการในสินค้าด้วยการกดปุ่ม สั่งซื้อปุ่มนี้เองที่จะทำให้เกิดการสร้างรายได้เกิดขึ้น อาจต้องอาศัยรูปแบบการจัดวางให้เหมาะสม การใช้งานที่ไม่ได้ยุ่งยากซับซ้อนจนเกินไป อีกทั้งพฤติกรรมของผู้บริโภค ที่จะทำให้เราออกแบบให้ตอบโจทย์กับการซื้อของผู้บริโภคมากขึ้น  

5. ประหยัดในระยะยาว

แรกเริ่มของการออกแบบอาจมีราคาที่ค่อนข้างสูง แต่จะคุ้มค่ามากกว่าในระยะยาว เพราะอย่างที่กล่าวข้างต้นว่าภาพลักษณ์คือสิ่งสำคัญมากที่จะทำให้โดดเด่นและเป็นจุดสนใจของผู้บริโภค ถ้าหากสินค้านำออกสู่ตลาดแล้วพบว่าภาพลักษณ์ไม่ดีหรือโลโก้ไม่น่าสนใจก็อาจทำให้ยอดขายไม่ประสบความสำเร็จได้เช่นกัน

เพราะการสร้างแบรนด์ไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นบริษัทขนาดใหญ่ เดี๋ยวนี้ SME หรือบางธุรกิจก็มีการใช้ Graphic Design เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการประกอบธุรกิจด้วย เพื่อที่ว่าจะได้สร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์และสินค้าให้มีความโดดเด่น น่าสนใจ และดึงดูดให้ซื้อสินค้าอีกด้วย

 

ที่มา (https://www.wynnsoftstudio.com/the-importance-of-Graphic-Design-at-the-SME)

อัพเกรดธุรกิจด้วยการตกแต่งภายในต่างๆ

ธุรกิจจะประสบความสำเร็จไม่ได้ ถ้าขาดองค์ประกอบที่ดี ซึ่งนอกจากผลิตภัณฑ์หรือกลยุทธ์ทางการตลาดแล้ว การ ตกแต่งพื้นที่ ให้สวยงามและพร้อมตอบโจทย์การใช้งาน ด้วยเฟอร์นิเจอร์ที่มีดีไซน์ลงตัวกับทุกความต้องการและการตกแต่งหน้าร้านต่างๆ ก็สามารถสร้างบรรยากาศของพื้นที่ธุรกิจในฝันให้กลายเป็นจริงได้อย่างสมบูรณ์ มีผลงานวิจัยหลายแห่งบอกไว้ว่า บรรยากาศและสภาพแวดล้อมที่ดีในสถานที่ทำงาน คือหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้การทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะธุรกิจที่มีหน้าร้านหรือธุรกิจที่ต้องมีพื้นที่รองรับลูกค้า การเลือกใช้วิธีกาตกแต่งภายในที่สามารถตอบโจทย์ฟังก์ชั่นได้อย่างครบครัน ทั้งความสวยงามและการใช้งานที่ลงตัว ก็จะช่วยเพิ่มมูลค่าแห่งความประทับใจให้กับลูกค้าหรือผู้ใช้บริการมากยิ่งขึ้น วันนี้เราจึงนำไอเดียดีๆ ในการ ตกแต่งพื้นที่ ธุรกิจต่างๆ

 

แต่ว่าบางทีการอัพเกรดภายในใหม่ทั้งหมดอาจจะใช้งบประมาณเยอะ เราจะอยากจะแนะนำการตกแต่งภายในด้วยการใช้ sticker wallpaper ต่างๆเข้ามาเปลี่ยน mood and tone ให้กับธรุกิจเรา หรือ การใช้ sticker ต่างๆเข้ามาตกแต่งให้ดูดียิ่ง หรือแม้กระทั้ง ป้ายตัวอักษรต่างๆ การใช้กล่องไฟ หรือ ทีวี เข้ามาเพื่มความน่าสนใจและดึงดูดลูกค้า แค่นี้เราก็สามารถอัพเกรดธรุกิจของเราให้ดูทันสมัยมากขึ้นโดยใช้งบน้อยได้

 

Reference: http://www.propertyinsight.co/Daily+Update/ตกแต่งพื้นที่/

สเปคของไวนิลที่ควรรู้

ไวนิลแต่ละยี่ห้อนั้นจะมีสเปคของไวนิลแต่ละประเภท เราต้องเลือกใช้ให้เหมาะกับงาน การเลือกใช้ไวนิลเหมาะสมกับการใช้งานนั้นจะทำให้เราใช้ประโยชน์ได้เต็มที่และได้คุณภาพที่ดีสุดกับความต้องการของเรา การดูสเปคของไวนิลนั้นสามารถแบ่งออกเป็นข้อๆได้ดังนี้

Weight คือน้ำหนักต่อตารางเมตร จะมีหน่วยเป็นกรัม ตัวอย่างเช่น 360g (gram) คือ ไวนิลมีน้ำหนัก 360 กรัมต่อตารางเมตร

Thickness คือความหนาของไวนิลเช่น 0.3, 0.35 +- 0.02 mm. หมายถึงไวนิลมีความหนา 0.3 mm. หรือ ไวนิลมีความหนา 0.35 mm. +- ไม่เกิน 0.02 mm. เป็นต้น

Surface คือประเภทของผิวหน้าไวนิล เช่น Matte หรือ Glossy แต่งานส่วนใหญ่นั้นจะเป็น Glossy

Width คือหน้ากว้างของไวนิล จะเริ่มตั้งแต่ 0.92, 1.22, 1.32, 1.52, 1.82, 2.22, 2.52, 2.82, 3.20 เมตร.

Length คือความยาวของไวนิล โดยปกติไวนิล 1 ม้วน จะมีมาตรฐานความยาวอยู่ที่ 50 เมตร

 

ตัวอย่างจากการใช้งานจริง

จากประสบการณ์การในการทำงานตลอดระยะเวลามากกว่า 10 ปี เราอยากแนะนำการเลือกใช้สเปคของไวนิลให้ลูกค้าดังนี้

ป้ายไวนิล ขนาดเล็ก ขนาดไม่เกิน 3×3 m. เราจะเลือกใช้ไวนิลที่มีความหนาอยู่ที่ 310g ก็เพียงพอต่อการใช้งาน สามารถร้อยท่อแล้วขึงกับโครงสร้างหน้างานได้สบายๆ อาจจะเพิ่มเป็น 360g แล้วแต่สภาพหน้างานว่าติดสูงหรือกินลมมากแค่ไหน

ป้ายไวนิล ขนาดใหญ่ ขนาดตั้งแต่ 3 m. ขึ้นไป เราจะเลือกใช้ไวนิลที่มีความหนาตั้งแต่ 360g ขึ้นไป จะต้องมีการต่องานเพื่อให้ได้ขนาดตามที่ลูกค้าต้องการเพราะหน้ากว้างใหญ่ที่สุดของไวนิลนั้นจะอยู่ที่ 3.20 เมตร จึงจำเป็นต้องมีการต่อหลายๆชิ้นเข้าด้วยกัน ซึ่งหากหน้างานนั้นต้องเจอกับสภาพอากาศที่มีแรงลมตลอดเวลา ความหนา 400g – 440g จึงเป็นทางเลือกที่ควรใช้ นอกจากนี้ความหนาและเส้นด้ายที่เหมาะสมยังช่วยให้ป้ายใช้งานได้ยาวขึ้นอีกด้วย อย่างไรก็ตามป้ายขนาดใหญ่การติดตั้งที่หน้างานจะมีความแตกต่างกัน เราจึงจำเป็นเลือกสเปคให้เหมาะสมกับการใช้งานนั้นๆด้วย

Content Marketing คืออะไร

Content Marketing คือ เทคนิคด้านการตลาด ในการสร้างและแจกจ่าย Content (เนื้อหา) ที่มี “คุณค่า” กับกลุ่มเป้าหมาย โดยมีจุดประสงค์ให้กลุ่มเป้าหมายกลับมาสร้างรายได้ให้เรา หรือพูดง่ายๆคือเนื้อหาที่สร้างขึ้นมาเพื่อหวังผล (ทั้งในทางตรงและทางอ้อม) สร้างยอดขายและรายได้ให้กับแบรนด์เรา

 

สำหรับ Content ในที่นี้สามารถเป็นเนื้อหาในสื่อใดก็ได้นะครับ ตัวอย่างของสื่อที่ได้รับความนิยมมาก ก็คือ:

 

บทความ

ข้อเขียนในหน้าเว็บไซต์ต่าง ๆ อาจจะเป็นโพส Facebook หรือเนื้อหายาว ๆ ในเว็บไซต์ก็ได้

 

กราฟิก  

ก่อนหน้านี้ก็มีเทรนด์การทำ Infographic สวย ๆ ที่ย่อข้อเขียนยาว ๆ ให้อ่านง่ายขึ้นด้วยรูปเข้าใจง่าย โพสลงใน Facebook แล้วได้รับความนิยมมาก ถึงขนาดมีบริษัทที่เปิดขึ้นมารับทำ Infographic โดยเฉพาะเลย

 

วีดิโอ

การทำวีดิโอได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะมี Youtube.com ที่แบรนด์สามารถสร้าง Video Channel ของตัวเองได้ฟรี แถมมีฐานผู้ใช้มหาศาล ซึ่งถ้าติดตาม Cannes Award จะเห็นวีดิโอได้รางวัลหลายตัวเลยที่สร้างขึ้นมาทำ Content Marketing

 

รายการวิทยุ (Podcast)

ถึงในไทยจะไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่าไหร่ แต่ในต่างประเทศการอัดเสียงตัวเองพูดเรื่องอะไรสักอย่างเป็นเหมือนรายการวิทยุ แล้วเผยแพร่ทาง iTune, เว็บไซต์ส่วนตัว เป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมมากครับ คนที่พูดเก่ง ๆ กลายเป็นคนดัง มีคนเชิญไปเป็น Speaker ในงานต่าง ๆ มากมายเลยทีเดียว

 

การทำ Content Marketing มันต่างกับการตลาดทั่วไปยังไง

การตลาดแบบเดิมที่เราทำกันทั่วไป หรือ Traditional Marketing คือการทำการตลาดผ่านพวกโฆษณาในทีวีหรือป้ายโฆษณา เป็นการตลาดที่ต้องขัดจังหวะ (Interrupt) กลุ่มเป้าหมายเพื่อนำเสนอ ตัวอย่าง ของ Traditional Marketing เช่น เรากำลังดูรายการประกวดร้องเพลงชื่อดังรายการหนึ่งอยู่อย่างมีความสุข แต่แล้วก็ถูกโฆษณายาสีฟันแทรกขึ้นมา หรือเรากำลังขับรถอยู่บนถนน เราก็เห็นป้ายโฆษณาสีสันดึงดูดจนอาจจะละสายตาออกจากถนนไปได้เลย

 

การตลาดด้วยเนื้อหา หรือ Content Marketing เป็นการตลาดที่นำเสนอเนื้อหาที่น่าสนใจมาให้กลุ่มเป้าหมายเลือกดูได้ ซึ่งมี คุณค่าและดึงดูดให้กลุ่มเป้าหมายของเรานั้นเกิดความสนใจและต้องดูในที่สุด  ตัวอย่าง ของ Content Marketing เช่น เรากำลังเลื่อน News Feed หาเรื่องมาซุบซิบนินทาเพื่อนใน Facebook แล้วไปเจอเพื่อนเราแชร์บลอคเกี่ยวกับการออกกำลังกายที่เราสนใจอยู่พอดี เลยคลิกเข้าไปดู

 

ทำไมเราถึงต้องทำ Content Marketing

หลายคนอาจสงสัยว่า ในเมื่อเราทำโฆษณาใน Facebook, Google Adwords, SEO, SEM, PPC ต่าง ๆ แล้ว ก็น่าจะเพียงพอแล้ว ทำไมต้องทำ Content Marketing ด้วย จาก Case Study ของ Josh Steimle ซึ่งเป็น CEO ของบริษัท MWI – Digital Agency เค้าบอกว่าก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่า การที่คนจะซื้อของสิ่งหนึ่ง ต้องผ่านช่วงอะไรบ้าง (หลายคนอาจจะเคยได้ยินในคำว่า Customer Journey หรือ Funnel ครับ)

 

Customer Journey โดยพื้นฐานแล้วจะแบ่งออกเป็น 4 ข้อ:

Awareness = ลูกค้าอาจไม่รู้ว่าตัวเองต้องการสิ่งนี้มาก่อน เราก็ต้องทำให้เค้ารู้ตัว (Aware)

Research = พอลูกค้ารู้ตัวแล้ว เค้าก็จะหาข้อมูลเกี่ยวกับสินค้านั้น เช่น คนที่อยากซื้อรถ ก็จะค้นดูว่ามีรถรุ่นไหนบ้างที่เหมาะกับเค้า

Consideration = พอได้ข้อมูลครบแล้ว ลูกค้าก็จะทำการเปรียบเทียบว่าสินค้ารุ่นไหนที่เหมาะกับเค้าที่สุด และซื้อจากไหนที่ได้ราคาเหมาะสมที่สุด

Buy = สุดท้ายเมื่อตัดสินใจได้แล้ว ลูกค้าก็จะทำการสั่งซื้อ

 

คุณ Josh บอกว่าการตลาดแบบเดิม ๆ (Traditional Marketing) เหมาะมากกับ 2 ข้อหลังใน Customer Journey (Consideration และ Buy) ส่วน Content Marketing เหมาะสมมากกับ 2 ข้อแรก (Awareness และ Research) โดยการทำให้กลุ่มเป้าหมายรู้ตัว (Aware) ว่ามีสินค้าที่แก้ปัญหาให้เค้าได้อยู่ และให้ความรู้เกี่ยวกับสินค้าผ่านบทความ / วีดิโอต่าง ๆ (Research)โดยบริษัทของ Josh ได้ลูกค้าเพิ่มขึ้นมา 1000% ในปีที่ผ่านมา จากการทำ Content Marketing ที่ใช้เวลาประมาณ 20 ชั่วโมงเท่านั้น ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าจนกำไรท่วมท้นเลยทีเดียว

ป้ายโฆษณาดีอย่างไร?

การโฆษณาถือว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำการตลาดเพื่อที่จะบอกกล่าวให้กลุ่มเป้าหมาย หรือ กลุ่มลูกค้า ของเรานั้นรับรู้ถึงสินค้า, บริการ, และตำแหน่งของเรา และยังคงสื่อคุณค่าและความหน้าเชื่อถือให้แก่กลุ่มลูกค้าเราอีกด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะนำไปสู่การกระตุ้นความต้องการที่จะบริโภคสินค้าและบริการของเรานั้นเอง โดยเจ้าของกิจการจะว่าจ้างบริษัทรับทำโฆษณา เพื่อทำการโฆษณาสินค้าและบริการในสื่อต่างๆ เช่น ป้ายโฆษณากลางแจ้งตามถนนสายหลัก ซึ่งเป็นสื่อที่ช่วยประหยัดงบประมาณได้และสามารถสร้างความรับรู้หรือตระหนักถึงแบรนด์สินค้าได้อีกทางหนึ่ง ป้ายโฆษณา เป็นสื่อที่มีความสำคัญมากในวงการประชาสัมพันธ์และโฆษณา เพราะป้ายโฆษณาสามารถเผยแพร่ได้สะดวกและกว้างขวาง เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ทุกพื้นที่สามารถสื่อสารกับผู้บริโภคได้ทุกเพศทุกวัย ทุกระดับการศึกษา มีความยืดหยุ่นในการออกแบบ สามารถออกแบบกราฟิกได้อย่างอิสระเพื่อโน้มน้าวความรู้สึกได้เป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าในปัจจุบันการโฆษณาบนสื่อดิจิตอลต่างๆ เช่น โซเชียลมีเดีย และ เว็ปต่างๆ กำลังเป็นที่สนใจของใครหลายๆคน แต่อย่างไรก็ตามป้ายโฆษณาก็ยังคงเป็นสื่อสำคัญมาก เพราะป้ายโฆษณานั้นสามารถสร้างความน่าเชื่อถือและภาพลักษณ์ของแบรนด์ได้ดีกว่า ละยังการันตีว่ากลุ่มลูกค้าของเราในจุดต่างๆนั้นจะได้รับข้อมูลละการโฆษณาสินค้าและบริการที่เราต้องการจะสื่อสารได้อย่างแน่น และด้วยผลวิจัยจาก (Lancaster, Kreshel and Harris 1986) ได้พบว่าเมื่อผู้บริโภคได้เห็นโฆษณาเดิมๆซ้ำๆกันมากกว่า 3 ครั้งนั้น จะทำให้โฆษณานั้นๆมีผลกระทบต่อความต้องการซื้อของผู้บริโภคละนำไปสู่การซื้อหรือการหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสินค้าละบริการนั้นๆ

 

ข้อดีของป้ายโฆษณา

ครอบคลุมพื้นที่กว้างขวาง และสามารถเลือกตั้งเฉพาะพื้นที่ได้

– มีความถี่ในการมองเห็นบ่อย เพราะจุดติดตั้งส่วนใหญ่เป็นเส้นทาง หรือบริเวณที่ต้องเดินผ่านไปมาเสมอ

– สามารถดึงดูดความสนใจได้ดี

– ไม่มีข้อจำกัดในเรื่องเวลาในการนำเสนอข้อมูล

– ข้อความที่กะทัดรัด ทำให้เกิดความสนใจและเป็นจุดเด่นที่ทำให้เกิดความจดจำ

 

ข้อเสียของป้ายโฆษณา

– การนำเสนอข้อมูลมีข้อจำกัดสูง ทำให้ขาดรายละเอียดเมื่อเปรียบเทียบกับสื่อชนิดอื่นๆ เช่น โซเชียลมีเดีย

– การผลิตจำเป็นต้องใช้ความละเอียดอ่อนสูง เสียค่าใช้จ่ายมาก

– เป็นการไม่รักษาสิ่งแวดล้อมที่ดี

 

Reference: http://www.billboardconstructor.com/advertising